ในวันที่ทุกคนต่างรีบเร่ง มีภาระหน้าที่ต้องทำวันละล้านอย่าง ลำพังแค่จะเติมเต็มความสุขของตัวเองก็ยากพออยู่แล้ว เรายังจำเป็นแค่ไหนที่ต้องสละพลังงานเกือบหมดหลอดนั้นไปกับการทำอะไรสักอย่าง ที่อาจจะไม่อยากทำเท่าไร เพียงเพราะต้อง ‘เอาสังคม’ และความไม่สบายตัวจากการต้องการสละเวลากับพลังงานอันมีค่าของเราเพื่อคนอื่นนี้น่ะ เป็นราคาที่เราต่างต้องจ่ายไปเพื่อแลกกับการมีความสัมพันธ์กับสังคมจริงหรือ? 


‘ราคาของการเข้าสังคมคือความไม่สบายตัว’? ชวนทบทวนการสร้าง Boundary จริงไหมที่การเลือกตัวเองก่อน และสร้างขอบเขตมากเกินไปในความสัมพันธ์ของคนยุคใหม่ กำลังทำลาย Social Connection และทำให้มนุษย์รู้สึกแปลกแยกมากขึ้น

“The price of community is inconvenience” ราคาของการเข้าสังคมคือความไม่สบายตัว&nbsp;คือประโยคจากโพสต์หนึ่งบน X เมื่อไม่นานมานี้ที่หญิงสาวคนหนึ่งถามตัวเองขณะเธอกำลังปีนขึ้นบันไดตึก 6 ชั้น เพื่อไปร่วมงานวันเกิด ‘น้องแมว’ ของเพื่อนคนหนึ่ง&nbsp;ไม่ใช่แค่เราที่สะดุดใจกับคำพูดนี้ แต่โพสต์ที่มียอดวิวยอดวิวกว่า 2.7 ล้าน ชวนให้คิดได้ไม่น้อยเลยว่าในวันที่ทุกคนต่างรีบเร่ง มีภาระหน้าที่ต้องทำวันละล้านอย่าง ลำพังแค่จะเติมเต็มความสุขของตัวเองก็ยากพออยู่แล้ว เรายังจำเป็นแค่ไหนที่ต้องสละพลังงานเกือบหมดหลอดนั้นไปกับการทำอะไรสักอย่าง ที่อาจจะไม่อยากทำเท่าไร เพียงเพราะต้อง ‘เอาสังคม’&nbsp;และความไม่สบายตัวจากการต้องการสละเวลากับพลังงานอันมีค่าของเราเพื่อคนอื่นนี้น่ะ เป็นราคาที่เราต่างต้องจ่ายไปเพื่อแลกกับการมีความสัมพันธ์กับสังคมจริงหรือ?&nbsp;ความน่าสนใจคือการที่คำถามปลายเปิดจากชาวเน็ตนี้ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกผิดตายตัว แต่มันค่อยๆ ต่อยอดออกไปสู่ประเด็นที่ชวนให้หลายคนมาดีเบตกันอย่างออกรส ทำให้ได้เห็นมุมมองหลากหลายที่คนยุคนี้มีต่อความสัมพันธ์ของรอบข้างของพวกเขาว่า บางครั้งการให้ค่ากับเวลาและพลังงานอันมีค่าของตัวเองมาเป็นอันดับแรก และระหว่างที่เราสร้าง Boundary ขีดเส้นกั้นขอบเขตระหว่างตัวเองกับสังคมอยู่นั้น มันกำลังทำลาย Social Connection และความสัมพันธ์ของคนยุคใหม่ ให้โดดเดี่ยวแปลกแยกต่อกันมากขึ้นด้วยหรือเปล่า &nbsp;ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 2-3 ปีมานี้ ค่านิยมเรื่อง Self-awareness สอนให้เราค่อยๆ กลับมาตระหนักรู้ถึงความสัมพันธ์กับตัวเราเอง สอนให้ปฏิเสธเป็น รู้จักตั้งขอบเขต (Boundary) และขีดจำกัดในทุกความสัมพันธ์มากขึ้น จนคำว่า ‘Self-love’ กลายเป็นสารัตถะของใครหลายคน ตามมาด้วยสำนวนต่างๆ นานาที่ตามมาจากค่านิยมรักตัวเองนี้ ไม่ว่าจะเป็น ‘Protecting my peace’ (เพื่อความสุขสงบของฉันเอง) หรือ ‘Me time’ (เวลาของฉันต้องมาก่อน) และในทางกลับกัน การโชว์อัพเพื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่นมากเกินไปก็เป็นพฤติกรรมที่ชื่อเรียกแทงใจเช่นกันว่า People Pleaser &nbsp;ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ทุกการสร้าง Boundary จะเฮลธ์ตี้ไปเสียทั้งหมด ในมุมมองของนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะวิตกกังวล Kamalyn Kaur มองว่า คนยุคใหม่พยายามสร้าง Boundary แต่ขณะเดียวกันก็จับผิดในทุกๆ ความสัมพันธ์กับคนอื่นมากเกินไปด้วย และบางครั้งมันก็ทำให้เราเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์กับสังคมไปเลยโดยปริยาย มากกว่าจะพยายามเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์แบบเฮลธ์ตี้&nbsp;จนกระทั่ง Boundary กลายเป็นอีกหนึ่งท่าทีที่เราใช้ในการมีความสัมพันธ์กับสังคม เมื่อไรก็ตามที่เราเผชิญหน้ากับสถานการณ์หรือความรู้สึกว่า ‘ไม่สบายตัว’ เช่น เราเทนัดสำคัญในนาทีสุดท้ายกับครอบครัวได้อย่างง่ายดาย เราเลือกอยู่กับตัวเองในเวลาที่เพื่อนคนสำคัญกำลังต้องการเรา เพราะว่าวันเหล่านั้น เรารู้สึกเหนื่อยล้าเกินไป และไม่พร้อมจะทำเพื่อใครอีกแล้ว ฯลฯ คำถามที่น่าสนใจคือ มันกำลังทำให้เราตัดความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับสังคมรอบข้างนั้นไปอย่างง่ายดาย และกลายเป็นคนที่ ‘ไม่แคร์’ เกินไปด้วยหรือเปล่าในมุมมองนักจิตวิทยา เทคโนโลยีมากมายช่วยให้เราสามารถอยู่แบบพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสังคมได้ก็จริง แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำเราห่างจากการมีปฏิสัมพันธ์แบบ ‘ตัวต่อตัว’ กับคนอื่นไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยืนยันว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนหรือสังคมรอบข้าง มีส่วนช่วยให้อายุยืนยาว และช่วยส่งเสริม Well-being ของเรามากกว่าการมีพันธุกรรมที่ดีเสียอีก ขณะที่งานวิจัยก็ยังยืนยันด้วยว่า ‘ความเหงาฆ่าเราได้’ จริงๆ &nbsp;“ชุมชนมีข้อดีหลายอย่าง หลักๆ เลยมันช่วยเป็น Emotional Support ให้เราได้ โดยเฉพาะในยามที่เราอยู่ท่ามกลางความรู้สึกไม่แน่นอน ไม่มั่นคง อย่างเช่นโลกทุกวันนี้” Kamalyn Kaur นักจิตวิทยา กล่าว&nbsp;“ชีวิตของคนทุกวันนี้มันเร็ว มันมีความเป็นหน่วยย่อย เป็นปัจเจกสูง คอมมิวนิตี้ช่วยให้เรารู้สึกถูก ‘มองเห็น’ อยู่เคียงข้างเราทั้งเวลาสุขและทุกข์ แต่แน่นอนว่าความ ‘ไม่สบายตัว’ ก็คือส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดนี้ มันมีราคาของสังคม หรือที่พวกเราหลายคนใช้คำว่า Price of community ที่ต้องจ่ายไปบ้างเหมือนกัน และนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้ ความไม่สบายตัว ความกระอักกระอ่วน ความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนั่นก็มีข้อดีตรงที่ มันช่วยนำพาไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ของคนเราให้ลึกซึ้งขึ้นด้วยเช่นกัน”&nbsp;นักจิตวิทยายังมองว่า หากเราหลีกเลี่ยงความยุ่งยากไม่สบายตัว และเลือกที่จะมองหาแต่อะไรที่ให้ความรู้สึก ‘คอมฟอร์ต’ ในความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว ก็เสี่ยงทำให้เราเจอเข้ากับความสัมพันธ์ในแบบ ‘ตื้นเขิน’ หรือเป็น ‘Echo chamber’ ที่เราจะได้รับข้อมูล ความคิดเห็น และมุมมองด้านเดียวที่สอดคล้องกับแค่ความเชื่อเดิมของเราเท่านั้น เพราะไม่มีคนที่จะมาเห็นแย้งเห็นต่างกันกับเรา และคอยช่วยกระทุ้งเราให้ตระหนักในมุมมองต่างออกไปที่เราไม่เคยนึกถึง&nbsp;เพราะการสร้าง Boundary ที่เฮลธ์ตี้ ไม่ใช่การตัดผู้คนออกไป แต่คือการหาจุดท่ี ‘พอดี’ ไม่มากไปน้อยไปในทุกความสัมพันธ์&nbsp;ความเห็นจากชาวโซเชียลฯ หลายคนยังแชร์อย่างน่าสนใจด้วยว่า การสร้างความสัมพันธ์กับสังคมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปปรากฏตัวแค่เฉพาะในโมเมนต์ที่แต่ละคนสวยงาม เป็นสุข มีแต่ความสนุกร่วมกันเท่านั้น มันไม่ใช่แค่ไปเจอกันตามดินเนอร์ ไปปาร์ตี้ ถ่ายรูปลงสตอรี่แล้วจบ ไม่ได้หมายถึงความถี่ของการปรากฏตัว แต่เป็น ‘ความใส่ใจ’ และความ ‘จริงใจ’ ในทุกๆ ครั้งที่ไปปรากฏตัวมากกว่า แม้แต่การหยิบยื่นซับพอร์ตในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเวลาที่อีกฝ่ายต้องการเรามากที่สุด ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าแล้ว&nbsp;และบางครั้ง เราอาจไม่จำเป็นต้องมีเอเนอร์จี้เต็ม 100% เพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะหากเราสามารถอยู่เคียงข้างกันในช่วงเวลาแสนเปราะบางและไม่พร้อม 100% เหล่านั้นได้ นั่นอาจเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นไหนๆ&nbsp;ก็เหมือนที่ใครบางคนว่าไว้ “Loneliness is the price you pay for a life of convenience” ความโดดเดี่ยวอาจเป็นราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อแลกกับความสบาย (ส่วน) ตัวด้วยเหมือนกันอ้างอิง<a href="https://x.com/fatfabfeminist/status/1957965857717633419" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://x.com/fatfabfeminist/status/1957965857717633419</a><a href="https://www.dazeddigital.com/life-culture/article/68795/1/is-inconvenience-the-cost-of-community-friendship-relationships-loneliness" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dazeddigital.com/life-culture/article/68795/1/is-inconvenience-the-cost-of-community-friendship-relationships-loneliness</a><a href="https://www.instagram.com/p/DPBnVPMDwyP/?img_index=1" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.instagram.com/p/DPBnVPMDwyP/?img_index=1</a>https://news.harvard.edu/gazette/story/2017/04/over-nearly-80-years-harvard-study-has-been-showing-how-to-live-a-healthy-and-happy-life/

‘October Theory’ หรือทฤษฎีตุลาคม ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นเดือนแห่ง ‘การเปลี่ยนแปลง’ ซึ่งไม่ว่าจะเปลี่ยนไปทิศทางที่ดีหรือไม่ อย่างน้อยๆ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง เราจะได้บทเรียนต่างๆ ในทางที่ ‘เลือก’ กลับมาเสมอ

นับถอยหลัง 90 วันก่อนปีใหม่ไปกับ ‘October Theory’ เมื่อคนเชื่อว่านี่คือเดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ได้ ‘ทบทวน’ แล้วลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อ ‘ตัวเอง’ ก่อนแลนดิ้งจบปี

บทความนี้ขอสื่อสารไปถึงทุกคนที่กลัว ‘cringe’ ในยุคที่รู้ตัวอีกทีคำนี้ก็กลายเป็นคำฮิตที่คนพูดใส่กันทั่วโซเชียลมีเดีย ทุกคนคะ ชีวิตนี้เป็นของเราค่ะ!!!! cringe ไปเลย ถ้าเกิดความ cringe นั้นจะทำให้เราได้ ‘เป็นตัวเอง’ อย่างแท้จริง ใครจะมองว่าเราไม่คูล ไม่เท่ ไม่เริ่ด นั่นมันไม่ใช่ธุระอะไรของเราค่ะ

To be ‘cringe’ is to be FREE อย่าลืม ‘ตัวเอง’ ท่ามกลางความคิดคนอื่น ชวนดีลกับความรู้สึกกลัว cringe ในยุคที่คนพร้อมจะตัดสินคนอื่น และถึงจะเปลี่ยนตัวเองแค่ไหน ก็ต้องมีสักคนไม่ชอบเราอยู่ดี

รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2025 ได้ตกเป็นของนักภูมิคุ้มกันวิทยาทั้งสาม ผู้ค้นพบกลไกของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่มีชื่อว่า ‘ความทนทานต่อภูมิคุ้มกันส่วนปลาย’ (peripheral immune tolerance) ซึ่งวงการแพทย์สามารถนำไปพัฒนาวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเองและโรคมะเร็งได้ในอนาคต

รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ ปี 2025! 3 นักวิทย์ค้นพบความลับของ ‘ระบบภูมิคุ้มกัน’ และเซลล์เม็ดเลือดขาว Tregs ซึ่งคือความหวังใหม่ในการรักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิแพ้ตัวเอง

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS