ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนกันได้ แต่ดูเหมือนหลายคนก็ยังไม่เชื่อในมิตรภาพสไตล์นี้

ชายหญิงสนิทกัน ไม่จำเป็นต้องสปาร์กกันทุกคู่ เพราะคนต่างเพศเป็นเพื่อนซี้กันได้จริงๆ และการคิดว่าเขาแอบปิ๊งกันอาจทำให้อึดอัดได้

ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนกันได้ – สำหรับหลายคนคือคอมมอนเซนส์ที่รู้อยู่แล้วว่ามันได้! แล้วเพื่อนที่ว่านี้ของหลายคนก็หมายถึงเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนไม่จริงที่แอบแซ่บเบาๆ กันแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนหลายคนก็ยังไม่เชื่อในมิตรภาพสไตล์นี้ ไม่ว่าจะด้วยภาพจำว่าความใกล้ชิดต่างเพศต้องนำมาซึ่งความโรแมนติกเท่านั้น หรือด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่ยังไม่เคยมีมิตรภาพแบบไม่โรแมนติกกับเพื่อนต่างเพศก็ตาม อย่างที่เราเห็นได้จากกระแสจิ้นเบาๆ ของคู่เพื่อนคนดัง ไม่ว่าจะ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก กับ นาย ณภัทร ที่ชาวเน็ตแห่จิ้นกันยกใหญ่ว่าอยากให้ไปเกินกว่าเฟรนด์โซน แม้ตัวใบเฟิร์นจะย้ำชัดหลายครั้งแล้วว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ และไม่อยากขยับไปเป็นแฟนแต่อย่างใด หรืออย่างคู่เพื่อนศิลปิน โบกี้ ไลอ้อน กับ เดอะ ทอยส์ ที่ชาวเน็ตก็ยังไม่วายจิ้น ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างมีคนรักกันอยู่แล้ว เหล่านี้เองเป็นภาพสะท้อนหนึ่งว่าลึกๆ หลายคนก็ยังไม่เชื่อในความสัมพันธ์เพื่อนซี้ระหว่างชาย-หญิง ว่ามันเป็นไปได้อยู่ดี อันที่จริง หากเป็นการจิ้นภายใต้บริบทของวงการบันเทิงก็ยังอาจไม่ใช่ปัญหาใดๆ มากมาย ยกเว้นแต่เมื่อไหรที่การจิ้นนั้นเริ่มกระทบกับชีวิตประจำวันของเขา สำหรับในชีวิตจริงของคนทั่วไปก็เช่นกัน การพูดแซว หรือคอยตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของผู้ชาย และผู้หญิงอยู่ตลอดเวลาของคนรอบข้าง อาจทำให้คู่เพื่อนสนิทต่างเพศบางคู่รู้สึกอึดอัด (แม้เขาจะไม่ได้พูดตรงๆ ว่าอึดอัด) จนต้องสร้างสเปซขึ้นมาเพราะกลัวหลายคนจับผิด อย่างนี้แล้ว เมื่อมีบางคนที่ไม่เชื่อในความสัมพันธ์เพื่อนต่างเพศ ถึงจะพูดปากเปล่าไปแล้วยังไง้ ยังไงก็ไม่เชื่อ งั้นเรามาลองกางงานวิจัยจริงจังกันดูสักหน่อยดีกว่า ว่ามันเป็นไปได้จริงๆ งานวิจัยของ โทเบียส อัลท์มันน์ (Tobias Altmann) ใน Journal of Individual Differences ปี 2022 ชี้ให้เห็นว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นเกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่น ความเป็นอยู่ที่ดี ความพึงพอใจในชีวิต โดยมิตรภาพนั้นมีอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดของบุคคล ฟังก์ชั่นของความสัมพันธ์ และคาแรกเตอร์ที่มีร่วมกัน เช่น อายุ ความสนใจ หรืออื่นๆ ซึ่งอัลท์มันน์พบว่าคนส่วนใหญ่ชอบที่จะมีเพื่อนเพศเดียวกันมากกว่า แต่ผู้หญิงจะมีทั้งเพื่อนผู้หญิง และเพื่อนผู้ชาย ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับผู้ชายที่มีเพื่อนผู้หญิงเช่นกัน นั่นหมายความว่าการที่คนบางส่วนจะคบหาใครเป็นเพื่อน บางทีก็มองข้ามเรื่องเพศ แต่โฟกัสที่เคมีของกันและกัน หรือการเข้ากันได้ด้วยความคิด หรือไลฟ์สไตล์ มาเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกคบเพื่อน หากมองให้ลึกลงไปว่าการเป็นเพื่อนต่างเพศนั้นมีกำแพงทางสังคมอะไรซ่อนอยู่ อัลท์มันน์ก็เคยสำรวจด้านความเชื่อ และค่านิยมที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เขาได้คัดเลือกผู้เข้าร่วมกว่า 1,300 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงไปแล้ว 68 เปอร์เซ็นต์ เพื่อสำรวจความแตกต่างทางสังคม ค่านิยม และเพศ ว่ามีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง โดยพบว่าทั้งชายและหญิงที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าทาง ‘ขนบธรรมเนียม’ ที่กลัวสังคมตีตราจะมีเพื่อนต่างเพศที่น้อยกว่า ผู้ชายเหล่านี้จะมีเพื่อนผู้ชายมากกว่า เช่นเดียวกับผู้หญิงที่จะคบแต่เพื่อนผู้หญิงด้วยกัน ไม่ได้คำนึงถึงความชอบส่วนตัวที่จริงๆ แล้วอาจจะอยากเป็นเพื่อนกับผู้ชายก็ได้ จะเห็นได้ว่าค่านิยมดังกล่าวมีส่วนทำให้ผู้คนเลือกคบเพื่อนตามความคาดหวังสังคม และหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายใจที่อาจเกิดขึ้น เมื่อผู้คนตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ ซึ่งเราคิดว่าการหมุนตามความเชื่อสังคมที่ยึดโยงกับบทบาททางเพศ ที่เชื่อว่าผู้ชายกับผู้หญิงต้องมีความรู้สึกโรแมนติกกันเท่านั้น มันก็ทำให้เราอาจจะพลาดการมีเพื่อนดีๆ ต่างเพศไปอย่างน่าเสียดาย อีกหนึ่งการศึกษาที่อยากยกขึ้นมา เป็นของ อีเลตร้า กิลคริสต์-เพ็ตตี้ (Eletra Gilchrist-Petty) รองศาสตราจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ ประจำ University of Alabama และ แลนซ์ ไคล์ เบนเน็ตต์ (Lance Kyle Bennett) นักศึกษาปริญญาเอกที่ University of Iowa คัดเลือก 346 คน อายุตั้งแต่ 18 ถึง 64 ปี ที่เคยมีความสัมพันธ์โรแมนติกต่างเพศ (heterosexual relationship) กับบุคคลที่มีเพื่อนรักเป็นเพื่อนต่างเพศ พบว่าคนที่ไม่เชื่อเรื่องมิตรภาพเพื่อนหญิง-ชาย โดยทั่วไปมักจะเหวี่ยงวีนขึ้นมากับคู่ของตน เมื่อรู้สึกว่าเพื่อนของแฟนกำลังคุกคามความสัมพันธ์ แง่นี้ก็คงหมายถึงคุกคามทางด้านจิตใจ ไม่พอใจเวลาแฟนกับเพื่อนต่างเพศสนิทกัน ซึ่งเราว่าการที่แฟนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิด ‘หึง’ ขึ้นมากับมิตรภาพระหว่างแฟนของเรากับเพื่อนของเขา ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นความระแวงที่ส่วนหนึ่งทำให้คนในสังคมมองว่า ผู้ชายกับผู้หญิงต้องมีซัมติงกันอย่างแน่นอน จะมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้ในชีวิตจริง เราจะเห็นว่ามีหลายครั้งมาก ที่แฟนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสั่งให้เลิกคบเพื่อนต่างเพศคนนั้น คนนี้ แง่หนึ่งก็นับเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเหมือนกันนะ ทั้งหมดทั้งมวล ส่วนหนึ่งเกิดจาก ‘บทบาททางเพศ’ ที่สังคมกำหนดเอาไว้กลายๆ ว่าผู้ชายกับผู้หญิงต้องสปาร์กกัน นานาว่า ผู้ชายกับผู้หญิงมีความแตกต่างกันสุดขั้ว ไม่สามารถมาเป็นเพื่อนที่เข้าใจกันได้อย่างแน่นอน ปัญหามันอยู่ที่การยึดติดว่าผู้ชายต้องคบเพื่อนผู้ชาย มันอาจทำให้ผู้ชายที่สบายใจกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่า หรือมีลักษณะที่ไม่ได้ Masculine ถูกตั้งคำถามว่าไม่แมน บางคนอาจจะต้องพยายามทำตัวให้แมน ไปคบเพื่อนผู้ชายที่พาไปทำเรื่องที่ไม่อยากทำเพื่อให้สังคมยอมรับ กลายเป็นเข้าข่าย Toxic Masculinity ไปอีก เช่นเดียวกับผู้หญิงบางคนที่อยากคบเพื่อนผู้ชายมากกว่า แต่สังคมก็จะมองว่าเธอนั้นแรดที่ไปคบกับเพื่อนผู้ชาย ทั้งๆ ที่เพื่อนชายคนนั้นอาจจะเป็นคนที่เธอสบายใจที่สุดก็ได้ ยิ่งพอบางคนในสังคมมองภาพว่าผู้ชายทุกคนต้องเจ้าชู้ คิดไม่ซื่อกับผู้หญิงทุกคน หรือบางคนอาจมองว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องหวั่นไหวกับเพศตรงข้ามที่เข้ามาพัวพันในชีวิต แม้จะอยู่ในสถานะเพื่อน ทำให้การจะคบกันเป็นเพื่อนของทั้งสองคน ถูกตั้งคำถามมากมายมากกว่าเพื่อนเพศเดียวกัน ซึ่งเราอยากให้ทุกคนลองวางกระดานที่ขีดเขียนในหัวเกี่ยวกับการตั้งแง่เหล่านี้ดูสักนิด เพราะหากมองแค่ว่ามนุษย์คนที่ 1 กับมนุษย์คนที่ 2 มาเป็นเพื่อนกันเฉยๆ คุณอาจจะเห็นความเป็นไปได้ โดยไม่ต้องยึดติดกับเพศของเขา การเลือกคบเพื่อนสักคน เราควรเลือกจากความรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ ทุกคนมีเพื่อนเพศอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละบุคคล และคนนอกความสัมพันธ์ก็อย่าพยายามตัดสินความสัมพันธ์ของคนอื่นเลยนะเธอ อ้างอิง: <a href="https://www.psychologytoday.com/us/blog/experimentations/202203/what-drives-friendship-between-men-and-women" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/us/blog/experimentations/202203/what-drives-friendship-between-men-and-women</a> <a href="https://www.theatlantic.com/family/archive/2019/08/mistrust-opposite-sex-friendships/596437/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.theatlantic.com/family/archive/2019/08/mistrust-opposite-sex-friendships/596437/</a>&nbsp;

เอ็มมา สโตน เพิ่งคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สองจาก Poor Things (2023) และนี่คือผลงานที่เธอตั้งใจกับมันและขุดค้นลงไปในตัวละครอย่างลึกที่สุด

Emma Stone นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุดกับบทที่สุดจะเฟมินิสต์ใน Poor Things (2023)

การที่บียอนเซ่ถูกวงการคันทรีปฏิเสธไม่ใช่เพียงเพราะเธอคือป๊อปสตาร์ แต่ยังเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนดำ และเหตุที่วงการเพลงคันทรีในอเมริกาซีเรียสเรื่องสีผิวกันนัก จนเกิดแฮชแท็กที่ว่า #CountryMusicIsSoWhite ก็มีที่มาตั้งแต่ยุค 20s กันเลยทีเดียว

Beyonce กับการกลับมาทำเพลงคันทรีอีกครั้ง ในอัลบั้ม Cowboy Carter ที่แม้จะมีดราม่าแต่ก็ตอกย้ำว่าเธอจริงจังกับมัน

สำหรับเราที่ลองหยิบ Buffy The Vampire Slayer มาดูอีกครั้งด้วยเลนส์ของยุคสมัยปัจจุบันก็พบว่ามันเป็นซีรีส์ที่ ‘Woke’ มาก่อนกาล ในความพยายามส่งเมสเสจพลังหญิงด้วยการสร้างเฟมินิสต์ไอคอนสักคนเพื่อต่อสู้กับแนวคิด ‘Misogynist’ ในแง่มุมต่างๆ

27 ปี ‘Buffy The Vampire Slayer’ มือปราบแวมไพร์ผู้ต่อสู้กับแนวคิด Misogynist ผ่านมุมอ่อนแอในตัวเอง และยืนยันเรื่องพลังหญิงผ่าน ‘ทางเลือก’ ที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS