การทำแท้งยังคงเป็นประเด็นอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่เรื่องของสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงเรื่องของความเชื่อทางศาสนา หรือแม้แต่เรื่องของสุขภาพและสภาวะจิตใจของผู้หญิงที่ตกอยู่ในสถานการณ์ของการตัดสินใจที่จะทำแท้ง

ผลจากการติดตามผู้หญิงทำแท้ง 1,000 คน ในอเมริกา เป็นเวลา 5 ปีเต็ม  พบว่ามันไม่ได้ทำลายชีวิตอย่างที่ถูกตีตรา

การทำแท้งยังคงเป็นประเด็นอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่เรื่องของสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงเรื่องของความเชื่อทางศาสนา หรือแม้แต่เรื่องของสุขภาพและสภาวะจิตใจของผู้หญิงที่ตกอยู่ในสถานการณ์ของการตัดสินใจที่จะทำแท้งจากผลการศึกษาของ The Turnaway Study ที่ทำการติดตามผู้หญิงจำนวน 1,000 คน เป็นเวลากว่า 5 ปี พบว่าการทำแท้งไม่ใช่เรื่องอันตราย แต่กลับเป็นผู้หญิงที่ปฏิเสธการทำแท้ง ที่อาจได้รับผลกระทบตามมาในระยะยาว ทั้งในเรื่องของสุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน และความมั่นคงในชีวิตของเด็กที่จะเกิดมาย้อนกลับไปเมื่อ 49 ปีที่แล้ว คดี ‘Roe v. Wade’ เริ่มต้นจากหญิงสาววัย 22 คนหนึ่งผู้ใช้นามแฝงว่า Jane Roe อ้างว่าเธอตั้งครรภ์จากการถูกล่วงละเมิด และทำการยื่นฟ้องนาย Henry Wade อัยการเขตดัลลัส รัฐฯ เท็กซัสในขณะนั้น ในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมายรัฐเท็กซัสที่ว่าด้วยการอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้เฉพาะกรณีที่การตั้งครรภ์นั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเธอไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และสุดท้ายศาลฎีกาได้มีมติคำตัดสินให้นางสาว Roe สามารถทำแท้งได้ เรียกว่าเป็นการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นกรณีพิเศษ&nbsp;จากจุดเริ่มต้นนี้เองที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงถึงความชอบธรรมในการตัดสินใจของผู้หญิง และเป็นเชื้อไฟให้เกิดการเรียกร้องในหลายรัฐของสหรัฐฯ ปลดล็อกการทำแท้งให้ปลอดภัยและถูกกฎหมาย “ภายในปีหน้า เราน่าจะได้เห็นรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ ชี้เป็นชี้ตายแล้วว่าจะให้กฎหมายการทำแท้งผ่าน หรือถูกแบนต่อไป” ดร. Bhavik Kumar ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนครอบครัว กล่าวกับเว็บไซต์ Glamour ถึงกฎหมายห้ามยุติการตั้งครรภ์ฉบับล่าสุดของรัฐฯ เท็กซัส ที่ห้ามไม่ให้ยุติการตั้งครรภ์ในอายุครรภ์เกิน 6 สัปดาห์ (จากฉบับเดิมที่ระบุไว้ 20 สัปดาห์)&nbsp;อะไรคือผลพวงจากการที่ผู้หญิงถูกกดดันให้อุ้มครรภ์ไว้ และอะไรคือผลที่ตามมาจากการตัดสินใจทำแท้งกันแน่&nbsp;ข้อถกเถียงนี้ยังดำเนินต่อไปโดยมีเรื่องของความรู้สึกและการคาดเดาเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าข้อเท็จจริง อย่างกรณีเมื่อปี 2007 ที่ศาลฎีกายังคงยืนกรานให้การทำแท้งถูกแบนต่อไป จากการสรุปเอาว่าผู้หญิงจะ ‘รู้สึกผิด’ หากตัดสินใจทำลายชีวิตที่กำลังจะเกิดมาดูโลกแต่นั่นเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนที่ว่าผู้หญิงทุกคนที่ตัดสินใจทำแท้งจะจมอยู่กับความทุกข์และความรู้สึกผิด ส่วนผู้หญิงที่ปฏิเสธการทำแท้งจะลงเอยด้วยความสุขเสมอไปจากการสำรวจโดย Turnaway Study พบว่าผู้หญิงที่ปฏิเสธการทำแท้งตั้งแต่แรกจะยินยอมทำแท้งในภายหลัง โดยทีมวิจัยใช้เวลากว่า 5 ปี สัมภาษณ์ผู้หญิงกลุ่มนี้ทุกๆ 6 เดือน รวมแล้วกว่า 8,000 บทสัมภาษณ์ &nbsp;ผลปรากฏว่าการทำแท้งไม่ได้ส่งผลกระทบให้เกิดอันตรายต่อผู้หญิงเหล่านั้นเลย ทั้งในแง่สุขภาพจิตและสุขภาพร่างกาย ในทางตรงกันข้าม การปฏิเสธการทำแท้งนั้นกลับมีอันตรายที่แฝงมาด้วยมากกว่า&nbsp;ดร. Foster หัวหน้าทีมวิจัย The Turnaway Study กล่าวว่า 95% ของผู้หญิงที่ตัดสินใจทำแท้ง พบว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้อง และพบว่าผู้หญิงที่ปฏิเสธการทำแท้ง มักจะต้องเผชิญกับปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ย่ำแย่กว่า “แนวคิดเรื่องการทำแท้งทำร้ายผู้หญิงขึ้นป้ายโฆษณาไปทั่ว แต่ความจริงที่ผู้หญิงต้องอุ้มครรภ์ทั้งที่ไม่พร้อมนั้นเป็นการทำร้ายทั้งตัวผู้หญิงเองทั้งเด็กที่จะเกิดมา กลับไม่เห็นมีใครออกมาประกาศบ้างเลย” ดร. Foster กล่าว&nbsp;แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรการทำแท้งเป็นเรื่องขัดต่อความเชื่อในหลายศาสนา ทั้งศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกับบ้านเราที่ถูกครอบไว้ด้วยกรอบของศาสนาพุทธ ยึดโยงกับความเชื่อเรื่องผีสางและเวรกรรม ที่ทำให้การทำแท้งถือเป็นเรื่องผิดบาป ผิดศีลธรรม ทั้งยังขัดต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่เป็น ‘เมืองพุทธ’ ทว่าหากมองประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์อย่างอังกฤษ กลับเป็นประเทศที่ยกเลิกความผิดเกี่ยวกับการทำแท้งเป็นประเทศแรกๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1938 อนุญาตให้ผู้หญิงทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีข้อแม้ว่าต้องทำภายใน 24 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และต้องได้รับการรับรองจากแพทย์ 2 คน ที่สำคัญการทำแท้งยังเป็นหนึ่งในสวัสดิการด้านสุขภาพที่ประชาชนเข้ารับบริการได้ฟรีอีกด้วย หรือในไอร์แลนด์ ประเทศที่เคร่งศาสนากว่าอังกฤษหลายเท่านัก ก็ยังจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายการทำแท้ง เพราะมีผู้หญิงถูกล่วงละเมิดจากคนแปลกหน้า รวมถึงคนในครอบครัวเป็นจำนวนหลายพันคนต่อปีสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อทางศาสนาและกฎหมายเองอาจต้องปรับตัวให้เข้ากับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน&nbsp;การถกเถียงเรื่องสิทธิการทำแท้งอาจไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องของอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่อไปว่าผู้หญิงที่ทำแท้งจะต้องเผชิญกับความรู้สึกผิด เพราะนี่คือข้อเท็จจริงจากผลสำรวจว่าในบริบทสังคมฝั่งตะวันตกที่ถูกปลูกฝังเรื่องการรักษาสิทธิและ ‘ทางเลือก’ ในร่างกายตัวเอง เป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้หญิงไม่ได้มีความรู้สึกว่าการทำแท้งที่ถูกกฎหมายและปลอดภัยเป็นเรื่องต้องรู้สึกผิด หากมันเป็นการรักษา ‘ชีวิต’ ของพวกเธอเอาไว้มากกว่า

นักแสดงสาว ลิลี่ ไรน์ฮาร์ต (Lili Reinhart) วัย 27 ผู้แจ้งเกิดจากซีรีส์สุดฮิต Riverdale (2017-2023) ได้โพสต์คลิปบอกเล่าถึงสถานการณ์ของตัวเธอเองหลังจากต้องเผชิญกับโรค Alopecia หรือโรคที่ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อมจนต้องใช้วิธีรักษาด้วยเครื่อง Red Light พร้อมๆ กับเปิดเผยว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา สุขภาพจิตของเธอเองก็ดิ่งลงเหวจากโรคซึมเศร้า และทำให้เธอต้องรับมือกับทั้งอาการป่วยทางร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วงไม่น้อยไปกว่ากัน 

Lili Reinhart เปิดใจล่าสุดถึงการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิต

ทุกวันนี้ความสัมพันธ์แบบ Polyamory เป็นที่พูดถึงและได้รับการยอมรับมากกว่าแต่ก่อน หลายๆ คู่ (หรือคี่) ที่คบกันในรูปแบบนี้ได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้สังคมได้รู้เห็น และทำความเข้าใจกับเรื่องนี้มากขึ้น

ชวนรู้จักรูปแบบที่หลากหลายภายใต้ร่มของ Polyamory ที่จุดตัดสำคัญคือ Consent ของทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องเพศ

บิลลี อายลิช (Billie Eilish) นับเป็นหนึ่งในศิลปินที่ออกมาบอกเล่าเกี่ยวกับเซ็กซ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของการพูดเรื่องเซ็กซ์ให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิต 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Health

ผลจากการติดตามผู้หญิงทำแท้ง 1,000 คน ในอเมริกา เป็นเวลา 5 ปีเต็ม พบว่ามันไม่ได้ทำลายชีวิตอย่างที่ถูกตีตรา

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS