เรื่องราวของเด็กชายวัย 13 ที่ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมเพื่อนเด็กผู้หญิงโรงเรียนเดียวกันอย่างโหดเหี้ยมใน Adolescence ลิมิเต็ดซีรีส์อังกฤษที่ฉายทาง Netflix และกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกเมื่อช่วงที่ผ่านมาไม่ได้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ ‘ไม่ไกล’ เกินความเป็นจริงเลย เพราะเหตุอาชญากรรมและการทำร้ายร่างกายด้วยการแทงด้วยของมีคมในสหราชอาณาจักรนั้นพบว่ามีสถิติพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ 

Smartphone Free Chilhood แคมเปญของกลุ่มผู้ปกครองในอังกฤษที่เรียกร้องให้เด็กใช้สมาร์ทโฟนหลังอายุ 14-16 ขึ้นไป เพื่อปกป้องเด็กๆ จากอันตรายของคอนเทนต์ที่บ่มเพาะความรุนแรง

แม้ว่าเรื่องราวของเด็กชายวัย 13 ที่ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมเพื่อนเด็กผู้หญิงโรงเรียนเดียวกันอย่างโหดเหี้ยมใน Adolescence ลิมิเต็ดซีรีส์อังกฤษที่ฉายทาง Netflix และกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกเมื่อช่วงที่ผ่านมาจะไม่ได้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริงก็ตาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ ‘ไม่ไกล’ เกินความเป็นจริงเลย เพราะเหตุอาชญากรรมและการทำร้ายร่างกายด้วยการแทงด้วยของมีคมในสหราชอาณาจักรนั้นพบว่ามีสถิติพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญในพื้นที่สหราชอาณาจักรและเวลส์ และตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรมแห่งเครือจักรภพก็ยังพบว่า สัดส่วนของผู้ก่อเหตุในคดีนี้กว่า 17.3 % เป็นเยาวชนที่มีอายุเพียง 10-17 ปีเท่านั้นด้วย“พ่อแม่ทุกคนรู้ดีว่ามันเสี่ยงแค่ไหนที่ให้เด็กๆ มีสมาร์ทโฟนอยู่ในมือ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นมากนักหรอกใช่ไหมคะ” Daisy Greenwell คือหนึ่งในคุณแม่ของลูกสาววัย 8 ขวบ ผู้อาศัยอยู่แถบชานเมือง Suffolk ทางตะวันออกของอังกฤษ ที่กังวลกับพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเด็กๆ ในทุกวันนี้ โดยเฉพาะการที่พวกเขาสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่มีเนื้อหารุนแรงบนโซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย และพ่อแม่อย่างเธอไม่สามารถจะเฝ้าดูได้อย่างทั่วถึงตลอดเวลา &nbsp;ความกังวลนี้เองที่ทำให้ Ms.Greenwell ตัดสินใจแชร์ความเห็นของเธอไปยังโซเชียลฯ ว่าจะเป็นไปได้ไหมหากเรายืดเวลาจากที่เคยให้เด็กๆ ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนตั้งแต่อายุ 11 ขวบ มาให้พวกเขาใช้ตอนที่อายุสัก 14 หรือ 16 แทน? แม้จะรู้ว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมที่พ่อแม่หยิบยื่นโทรศัพท์ให้กับลูกๆ ตั้งแต่พวกเขาเล็กๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะแทบทุกคน ทุกบ้านทำแบบนั้นมาจนกลายเป็นความ ‘ปกติ’ ไปแล้ว&nbsp;คำถามนี้ของ Ms. Greenwell กลายเป็นไวรัลภายในเวลา 24 ชั่วโมง และทำให้เกิดข้อถกเถียงเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตามมามากมาย และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของ Smartphone Free Childhood แคมเปญที่ก่อตั้งโดย Daisy Greenwell ร่วมกับสามีของเธอ Joe Ryrie และเพื่อนอีกคนคือ Clare Fernyhough ที่ตั้งใจจะหยิบปรากฏว่าจนถึงตอนนี้ มีผู้ปกครองจำนวนกว่า 124,000 ครอบครัว จาก 13,000 แล้วโรงเรียนในอังกฤษที่ตอบรับเข้าร่วมแคมเปญนี้ของเธอซึ่งจริงๆ แล้วจุดประสงค์ของแคมเปญ Smartphone Free Childhood นั้นไม่ใช่การรณรงค์ไม่ให้เด็กๆ ใช้สมาร์ทโฟนแบบเด็ดขาด หากแต่เป็นการ ‘ดีเลย์’ เวลาออกไปให้พวกเขาใช้ในช่วงวัยที่เหมาะสม ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างจริงจังของผู้ปกครองในการเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ Ms. Greenwell มองว่าสิ่งนี้คือคีย์สำคัญที่จะช่วยปกป้องเด็กๆ จากความกดดันในกลุ่มเพื่อนๆ ของพวกเขาได้ เพราะหากเด็กๆ ได้เห็นว่ากลุ่มเพื่อนๆ ของพวกเขาเองก็ถูกจำกัดการใช้สมาร์ทโฟนในเวลาในช่วงอายุ และในเวลาที่เหมาะสมแบบเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลก หรือรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกอะไร เพราะทุกคนก็ทำเหมือนกัน และพอทุกครอบครัว ทุกโรงเรียนควบคุมดูแลการใช้สมาร์ทโฟนของเด็กๆ แบบนี้เป็นวงกว้าง มันก็อาจจะสร้างอิมเเพ็คต์ให้พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ และการเข้าถึงคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ของเด็กๆ เป็นเรื่องปลอดภัยและควบคุมได้ง่ายมากขึ้น&nbsp;สถิติจากหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมแห่งชาติ สหราชอาณาจักร (NCA) ระบุว่าความเกลียดชังและการบูลลี่ในโลกออนไลน์ในปัจจุบัน กำลังมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 15 ปีมากเป็นพิเศษ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เองที่จะได้รับอิทธิพลจากแนวคิดที่สร้างทัศนคติที่จะก่อความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ เช่น Toxic Masculinity ความรุนแรงทางเพศ รวมถึงการบีบบังคับให้ผู้อื่นก่อความรุนแรง และการทำร้ายตัวเองด้วย&nbsp;ไม่ใช่เเค่กลุ่มผู้ปกครองในอังกฤษที่ออกมาเคลื่อนไหว หลายประเทศในยุโรปมีความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างเช่นฝรั่งเศสที่มีการสั่งห้ามนักเรียนในโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาใช้สมาร์ทโฟนมาตั้งแต่ปี 2018 แล้ว และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เดนมาร์กก็ประกาศนโยบายที่จะทำการแบนการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน เช่นเดียวกับนอร์เวย์ที่เตรียมออกมาตรการจำกัดอายุผู้ใช้โซเชียลมีเดียในอังกฤษเองก็เคยมีความพยายามจากหลายฝ่าย หนึ่งในนั้นคือ Josh MacAlister สมาชิกสภาจากพรรคแรงงานที่พยายามเรียกร้องนโยบายให้โรงเรียนในอังกฤษเป็นที่ ‘ปลอดสมาร์ทโฟน’ แต่ข้อเสนอของเขาก็กลับถูกปัดตกไป หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษไม่สนับข้อเรียกร้องนี้ โดยอ้างว่าการตัดสินใจว่าจะแบนการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของหน่วยย่อยอย่างครูใหญ่ของโรงเรียนมากกว่า&nbsp;ทว่าท่าทีเพิกเฉยของรัฐบาลอังกฤษ สวนทางกับความคิดเห็นของบรรดาผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องหารือกันจริงๆ จังๆ สักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Meta ผู้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram รวมถึงบริษัทเทคฯ เจ้าของแพลตฟอร์ม X ได้ล้มเลิกมาตรการการตรวจเช็คแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งนักวิชาการมองว่า น่าจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เนื้อหาของคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ผิดพลาด ไม่ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น&nbsp;และเมื่อเนื้อหาเหล่านั้นเผยแพร่ออกไป ก็อาจยิ่งนำมาสู่การสร้างสังคมที่เป็นพิษจากการบิดเบือนข้อมูล รวมถึงเกิดคอมมิวนิตี้ที่ปลุกปั่นการแบ่งเเยก สร้างความเกลียดชัง และ Hate Speech ในโลกออนไลน์มากขึ้นตามมา นอกจากนั้นยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า และความเสี่ยงที่เด็กๆ เหล่านั้นจะทำร้ายตัวเองอีกด้วย&nbsp;“พวกเขากำลังเผชิญกับความยากลำบาก และต้องการความช่วยเหลือจากเรา” Nova Eden หัวหน้าท้องถิ่นของแคมเปญ Smartphone Free Childhood ผู้ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งจากกรณีของ ‘มอลลี่’ เด็กสาววัย 14 ผู้จบชีวิตตัวเองหลังเสพคอนเทนต์เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายในอินสตาแกรม กล่าว่าเหตุการณ์สลดใจนี้เองได้ทำให้เธอกลับมาพิจารณาให้ดีอีกครั้งว่าจะให้ลูกสาวที่กำลังเป็นวัยรุ่นของเธอใช้สมาร์ทโฟนในเวลาที่เหมาะสม&nbsp;ถึงอย่างนั้น Jane Palmer ครูใหญ่โรงเรียน Colindale school ในเขตปกครอง Barnet ของอังกฤษเองก็ยอมรับว่า ผู้ปกครองบางส่วนยังคงไม่เชื่อว่าการแบนการใช้สมาร์ทโฟนของเด็กๆ จะเป็นทางออกของปัญหาที่แท้จริง เพราะส่วนหนึ่งพวกเขายังรู้สึกกังวลว่าหากไม่ให้เด็กๆ พกโทรศัพท์ติดตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา พ่อแม่ผู้ปกครองก็จะไม่สามารถติดต่อเด็กๆ ได้เลย ขณะที่บางส่วนก็มองว่าระบบ Parental Controls หรือระบบที่ผู้ปกครองสามารถควบคุมการเข้าถึงคอนเทนต์ของบุตรหลานในแพลตฟอร์มต่างๆ นั้นมันเวิร์กและปลอดภัยมากพออยู่แล้ว&nbsp;อย่างไรก็ตาม เธอมองว่าถึงแม้จะยังมีคนบางส่วนที่เสียงแตก และมีข้อกังขาอยู่บ้างในเรื่องการจำกัดการใช้สมาร์ทโฟนของเด็กๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนย่อมต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกหลานของพวกเขาปลอดภัยที่สุดอยู่ดี&nbsp;และความคืบหน้าก็คือ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โรงเรียนรัฐฯ ในเขตปกครอง Barnet จะเป็นเขตปกครองแรกในอังกฤษที่เริ่มมาตรการแบนการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนทั้งหมด ซึ่งมาตรการนี้เองจะมีผลต่อเด็กนักเรียนจำนวนอย่างน้อย 63,000 เลยทีเดียว เช่นเดียวกับ Eton โรงเรียนมัธยมชายล้วนชั้นนำของอังกฤษ ที่ประกาศว่าจะแบนการใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนทั้งหมด และพิจารณาให้เด็กนักเรียนพกพาโทรศัพท์ที่ใช้แค่การโทรและส่งข้อความได้เท่านั้น&nbsp;“เราคงไม่โทษว่าเทคโนโลยีมีแต่ด้านร้ายๆ หรอกนะครับ เพราะมันยังมีสิ่งดีๆ อีกมากมายให้เราใช้เต็มไปหมด นี่แหละเลยทำให้พวกเราต้องมานั่งถกกันจริงๆ จังๆ สักทีว่า ‘เมื่อไร’ ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กๆ ที่พวกเขาจะสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น และเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันก็ต้องปลอดภัยด้วย” Joe Ryrie ผู้ร่วมก่อตั้งแคมเปญ Smartphone Free Childhood กล่าวอ้างอิง<a href="https://www.nytimes.com/2025/04/01/world/europe/smartphone-ban-schools-uk-childhood.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.nytimes.com/2025/04/01/world/europe/smartphone-ban-schools-uk-childhood.html</a><a href="https://www.nytimes.com/2025/03/25/world/europe/online-gangs-teenage-boys-violence.html" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.nytimes.com/2025/03/25/world/europe/online-gangs-teenage-boys-violence.html</a>https://entertainment.trueid.net/detail/L5Aj70kkkoMw

ในสหราชอาณาจักร มีการยื่นเรื่องต่อศาลสูงสุด เพื่อพิจารณานิยามของ ‘ผู้หญิง’ ในพ.ร.บ. ความเท่าเทียม ปี 2010 อีกครั้ง โดยกลุ่ม For Women Scotland (FWS) ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลสก็อตแลนด์ให้นักการเมืองหญิงข้ามเพศเข้ามานั่งในสภาด้วยโควต้าของผู้หญิง

ศาลสูงสหราชอาณาจักร ตัดสินให้นิยามของ ‘ผู้หญิง’ ต้องอิงจากเพศกำเนิด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการกีดกันหญิงข้ามเพศ

นับเป็นกรณีสะเทือนขวัญในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผู้หญิงข้ามเพศที่ให้บริการทางเพศในพัทยา ถูกชายชาวจีนฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง

ความตายของผู้หญิงข้ามเพศที่พัทยา: ความเสี่ยงที่ Sex Worker และคนข้ามเพศต้องเผชิญเพียงลำพัง

Manosphere มาจาก Man และ Sphere มีความหมายตรงตัวว่ามันคือพื้นที่สำหรับผู้ชายในการแชร์มุมมอง ทัศนคติ และความเชื่อในแบบของพวกเขาและแม้จะเกลียดคำว่า woke แต่เหล่าสมาชิก Manosphere ก็ใช้คอนเซปต์เรื่องการ ‘ตื่นรู้’ มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Movement

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS