ตัวตึงผู้ยืนหนึ่งเรื่องการใช้คำสบถและหยาบมากที่สุดในเพลงก็คือแร็ปเปอร์สาววัย 41 เจ้าของตำแหน่ง Queen of Rap อย่าง Nicki Minaj ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเพลงของเธอมีคำด่าทอและคำสบถหยาบคายมากถึง 1,612 คำ

ผลสำรวจเผย Nicki Minaj ครองอันดับ 1 ในการใช้คำหยาบในเพลงมากที่สุด ตามด้วย Megan Thee Stallion, Beyonce และ Rihanna

ถามว่าการใช้คำหยาบในเพลงนั้นผิดแค่ไหน? หากมองกลับมาที่ประเทศไทย หลายคนน่าจะจำได้ว่าเนื้อเพลง “คนจนมีสิทธิไหมคะ?” กลายเป็นประเด็นดราม่าเมื่อมีคนบางส่วนมองว่าการใช้คำเรียกอวัยวะเพศหญิงในเพลงนั้นไม่เหมาะสม ซึ่งอันที่จริงการเลือกใช้คำในเพลงนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของศิลปะ และไม่ควรถูกตัดสินด้วยกรอบของศีลธรรมหรือจารีตสังคมเพียงอย่างเดียว และที่สุดแล้ว มันสามารถเป็นเรื่องปกติทั่วไปได้เมื่อผู้คนเปิดรับมากขึ้น อย่างเช่นผลการสำรวจชิ้นนี้ที่เราหยิบยกมานี้ ที่ชี้ให้เห็นว่ามีการใช้คำหยาบในเพลงมากขึ้นจากหลายปีก่อน รวมถึงนักร้องหญิงก็เลือกใช้คำหยาบในเพลงของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องหลบเลี่ยงหรืออ้อมค้อม และแน่นอนว่าพวกเธอมีสิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่ที่จะสื่อสารสิ่งเหล่านี้ออกไป&nbsp;เมื่อเร็วๆ นี้เว็บไซต์ Preply ได้ทำการสำรวจเพลงจำนวนกว่า 3,632 เพลง ของนักร้องหญิงที่ติดอันดับท็อป 100 Billboard จากหลายปีที่ผ่านมา เพื่อค้นหาในหลากหลายมิติของการใช้ภาษา เช่น ใครที่ใช้คำแสลงเยอะที่สุด ใครที่ใช้คำศัพท์ได้ยาวเหยียดที่สุด ใครที่คิดคลังศัพท์เก๋ๆ ได้มากที่สุด รวมถึงใครที่ใช้คำสบถและคำหยาบในเพลงมากที่สุดด้วย&nbsp;ผลสำหรับการเลือกใช้คำหยาบ ปรากฏว่าตัวตึงผู้ยืนหนึ่งเรื่องการใช้คำสบถและหยาบมากที่สุดในเพลงก็คือแร็ปเปอร์สาววัย 41 เจ้าของตำแหน่ง Queen of Rap อย่าง Nicki Minaj ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเพลงของเธอมีคำด่าทอและคำสบถหยาบคายมากถึง 1,612 คำเลยทีเดียว โดยทุกๆ 30 คำในเนื้อเพลงของเธอจะต้องมีอย่างน้อย 1 คำที่เป็นคำสถบหรือคำหยาบอยู่ในนั้น และคำที่แร็ปเปอร์สาวใช้บ่อยสุดๆ ก็คือคำว่า ‘B*tches’ แค่คำนี้คำเดียวก็มีมากถึง 231 ครั้งในหนึ่งเพลงของเธอไปแล้ว แถม Nicki Minaj ยังเป็นนักร้องที่ใช้คำแสลงอื่นๆ อีกมากถึง 355 คำอีกด้วย&nbsp;คนที่ท็อปฟอร์มไม่แพ้กันคือ Megan Thee Stallion เเร็ปเปอร์วัย 28 ผู้ใช้คำหยาบมากถึง 474 คำในเพลงๆ เดียว ส่วนนักร้องหญิงอันดับต่อมาที่ใช้คำหยาบบ่อยครั้ง ก็ได้แก่ Beyonce, Rihanna, Doja Cat, Ariana Grande, Lady Gaga, Lana Del Ray รวมถึง Miley Cyrus สัย ส่วนผู้ที่รั้งอันดับท้ายสุดอีกคนที่ถึงแม้จะไม่ใช่นักร้องสายฮิปฮอป-แร็ปเปอร์ แต่ว่าเพลงของเธอก็มีคำหยาบมากไม่น้อยไปกว่ากันถึง 60 คำ จากจำนวนเพลงทั้งหมด 240 เพลง และยังเป็นตัวแม่ในเรื่องการคิดค้นคลังศัพท์ใหม่ๆ เก๋ๆ มากกว่า 3,000 คำก็คือ Taylor Swift นั่นเองปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งคำสบถ คำแสลง คำหยาบ และการเปลี่ยนแปลงทางความหมาย หรือที่เรียกว่า ‘Semantic Shift’ ในคำศัพท์ต่างๆ นั้นเหมือนเป็นเนื้อเดียวกันกับ Rap และ Pop Culture มาทุกยุคทุกสมัยอย่างแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมาถึงของโซเชียลมีเดียนี้เองที่ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ความหมายและบริบทของคำนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของเว็บไซต์ MusicRadar พบว่า การสบถด้วยถ้อยคำหยาบคายในเนื้อเพลงนั้นเพิ่มขึ้นกว่า 14% นับตั้งแต่เพลงยุค 1950s เป็นต้นมา เท่านั้นยังไม่พอ เนื้อหาในเพลงยังมีความวาบหวามมากขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้คำที่สื่อความหมายเรื่องเพศมากขึ้น เช่นคำว่า ‘จิ๋ม’ (Pussy) ที่มาแทนคำว่า ‘จู๋’ (Dick) ซึ่งเคยฮิตใช้กันมากๆ ในเพลงช่วงยุค 90s&nbsp;นอกจากนั้นเนื้อหาในเพลงสมัยใหม่ยังมีทัศนคติแง่บวกน้อยลง และมีแนวโน้มจะไปในทางลบมากขึ้นถึง 12% อีกด้วย&nbsp;ถึงจะดูเหมือนเป็น Fact ยิบย่อยเล็กๆ น้อยๆ ก็จริง แต่แน่นอนว่าการใช้ ‘ภาษา’ ของศิลปินเหล่านี้ย่อมมีอิทธิพลอย่างมากต่อทัศนคติและวิธีคิดของผู้คน จนอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมให้กับคนเจนเนอเรชั่นต่อๆ ไปได้ไม่น้อย จึงน่าสนใจและน่าจับตามองอย่างยิ่งว่าวิวัฒนาการของคัลเจอร์นี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดต่อไป และการใช้คำหยาบมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ จะสร้างผลเสียให้สังคมจริงไหม อย่างไรบ้าง? หรือมันจะเป็นอีกส่วนที่ทำให้ผู้คนเปิดกว้างต่อการใช้ภาษามากขึ้นหรือเปล่า?อ้างอิง&nbsp;<a href="https://www.usatoday.com/story/entertainment/celebrities/2024/01/15/female-singers-swear-most-lyrics-curse/72233502007/?fbclid=IwAR2PmIYxzpRoprP3dT8mKHQbIBEOHWBkBdYcfXwaeTOxtUQoVViU8uG9KTI_aem_AZW200I-TN6I9eKmjJjzytf_wxL8WJH3Mj5WkzhzWZP9zzv1iMLP-6CIyPXJc_fUALo#lrg9e35z10g988d7b06%20%20" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.usatoday.com/story/entertainment/celebrities/2024/01/15/female-singers-swear-most-lyrics-curse/72233502007/?fbclid=IwAR2PmIYxzpRoprP3dT8mKHQbIBEOHWBkBdYcfXwaeTOxtUQoVViU8uG9KTI_aem_AZW200I-TN6I9eKmjJjzytf_wxL8WJH3Mj5WkzhzWZP9zzv1iMLP-6CIyPXJc_fUALo#lrg9e35z10g988d7b06%20%20</a>&nbsp;<a href="https://preply.com/en/blog/evolution-of-slang-through-music/" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://preply.com/en/blog/evolution-of-slang-through-music/</a>&nbsp;<a href="https://www.musicradar.com/news/song-lyric-content-analysis" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.musicradar.com/news/song-lyric-content-analysis</a>&nbsp;

Sukeban เป็นคำแสลงในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ‘นักเลงสาวมัธยม’ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อรั้นและมักเป็นหัวโจกในการต่อยตี และคำนี้ก็ถูกหยิบมาเป็นชื่อของลีกมวยปล้ำหญิงที่ผสมผสานทั้งศิลปะการแสดง แฟชั่น และซับคัลเจอร์ของญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน

Sukeban ลีกมวยปล้ำหญิงญี่ปุ่น กับเซนส์แฟชั่นสุดปังที่พร้อมยืนยันว่าผู้หญิง
แบบไหน สไตล์ใด ก็ล้วนแข็งแกร่งและงดงามได้ทั้งนั้น!

ภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ สะท้อนความสัมพันธ์แบบ What if ได้เป็นอย่างดี เพราะคำตอบของ ‘ดากานดา’ ในวันนั้น กลายเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจตัวละครและผู้ชมมาตลอดหลายสิบปี ถ้าไข่ย้อยกล้าทำอะไรมากกว่านี้ ทั้งคู่จะไม่เป็นอย่างเพลง ‘I'm ok // not ok’ หรือเปล่า?

จากหนัง ‘เพื่อนสนิท’ สู่บทเพลง ‘I'm ok // not ok’ ทำไมความสัมพันธ์แบบ What if จึงสวยงามเสมอ เมื่อเรื่องราวของทั้งคู่จบลงตั้งแต่จดหมายฉบับสุดท้าย และความเสียดายติดค้างอยู่ในใจตลอดกาล

Lara Raj แห่ง KATSEYE ได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจต่อสาธารณชนว่า เธอเป็น ‘เควียร์’ ซึ่งความกล้าหาญในการยืนหยัดที่จะเป็นตัวเองในอุตสาหกรรมไอดอลนี้ ทำให้เธอคว้ารางวัล Blooming Impact Award โดยองค์กรที่ต่อสู้และขับเคลื่อนเพื่อสิทธิ LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Los Angeles LGBT Center

Lara Raj แห่ง KATSEYE ไอดอลเชื้อสายอินเดียที่ come out ว่าเป็น ‘เควียร์’ และได้รับรางวัลจาก Los Angeles LGBT Center องค์กรที่ต่อสู้เพื่อ LGBTQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Music

ผลสำรวจเผย Nicki Minaj ครองอันดับ 1 ในการใช้คำหยาบในเพลงมากที่สุด ตามด้วย Megan Thee Stallion, Beyonce และ Rihanna

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS