TARA Essentials แบรนด์เสื้อยืดผ้าเดดสต็อกของแม่ค้าท่านหนึ่งที่ชื่อ ‘กรุณา บัวคำศรี’
TARA Essentials แบรนด์เสื้อยืดผ้าเดดสต็อกของแม่ค้าท่านหนึ่งที่ชื่อ ‘กรุณา บัวคำศรี’

TARA Essentials แบรนด์เสื้อยืดผ้าเดดสต็อกของแม่ค้าท่านหนึ่งที่ชื่อ ‘กรุณา บัวคำศรี’

by PATCHSITA PAIBULSIRI19 Dec 2024

แชร์บทความนี้

“นี่นะคะ 690 บาท เสื้อยืดจากผ้าเดดสต็อก ผ้ามันดีค่ะ” กรุณา บัวคำศรี กำลังขายของให้เราฟัง ว่าปกติเธอมักจะเปิดประโยคทำนองนี้กับลูกค้า ก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องราวว่า ‘ทำไม’ เธอถึงเลือกที่จะทำธุรกิจขายเสื้อผ้า และรับบทเป็นแม่ค้าสาวท่านหนึ่ง แห่งแบรนด์ ‘TARA Essentials’ ตามสไตล์การพูดที่เธอบอกว่ามันก็เป็นสไตล์เดียวกับการรายงานข่าวในฐานะ ‘นักข่าวสารคดี’ ที่เธอทำมาตลอดหลายปีนั่นแหละ

“หลักการของพี่คือ เป็นนักข่าวก็ขายข้อมูล เป็นแม่ค้าก็ขายเสื้อ ยูจะขายของได้แบบสะดวกปาก ยูก็ต้องขายของที่ยูเชื่อ และพูดได้แบบไม่กระดากปากว่า…ซื้อเถอะ! เพราะ at the end of the day คือยูกำลังขายของทั้งสิ้น เหมือนกับการรายงานข่าว ที่พี่ก็รายงานข่าวในสิ่งที่พี่เชื่อ พี่อิน เพราะถ้าพี่ไม่อิน พี่ก็จะงงๆ” นั่นแปลว่า ตอนนี้ กรุณา บัวคำศรี กำลังอินกับการทำแบรนด์ กำลังอินกับปัญหาในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่สอดคล้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อม และกำลังอยากใช้การขายเสื้อยืดจากผ้าเดดสต็อก ส่งต่อความตระหนักรู้ให้คนเห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเอารายได้นั้นไปทำข่าวสารคดีด้านสิ่งแวดล้อมที่เธอสนใจเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมต่อไป

เสื้อยืดรุ่น Classic จากผ้าเดดสต็อก 1 ตัว ของ TARA ช่วยลดการปล่อย Carbon Footprint ได้ 5.17 กิโลกรัม และรุ่น Striped จะช่วยลด Carbon Footprint เทียบเท่ากับระยะทางขับรถ 34.73 กิโลเมตร นั่นทำให้ช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์แรกที่โรงงานตีเสื้อที่หลุดออกมาจากเชลฟ์ในอุตสาหกรรมแฟชั่นเพราะตกเทรนด์แล้ว เธอจะสแตนด์บายไปเอาผ้าเหล่านั้น มาดีไซน์ใหม่พร้อมปักโลโก้ดอกเดซี่ ที่สื่อถึงความดื้อที่ไม่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ เหมือนกับผ้าเหล่านี้ที่ถูกทิ้งแต่ไม่จำเป็นต้องตายหายไปในทันที และใช้วิชางานศิลปะ จับคู่สีให้เก๋ระหว่างสีเสื้อและคอปกเสื้อจากของที่ได้มา นั่นทำให้ในแต่ละคอลเล็กชันของแบรนด์ ลายอาจไม่เหมือนกัน สีอาจไม่เหมือนกัน ผ้าอาจไม่เหมือนกัน แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์แบบ ‘วาบิซาบิ’ ที่โอบรับความเรียบง่าย และเห็นคุณค่าในความไม่สมบูรณ์แบบ

ตอนที่กรุณาไปทำสารคดี เธอช็อกเมื่อเห็นกองผ้าตรงหน้าที่มาจากอุตสาหกรรม Fast Fashion ซึ่งพักหลังมานี้ผลัดเปลี่ยนคอลเล็กชันแทบทุก 2-3 สัปดาห์ ทำให้มีเสื้อผ้าหลายตัน และหลายพับ ที่กำลังจะถูก ‘เผาทิ้ง’ หรือ ‘ฝังกลบ’ ไปดื้อๆ ทำให้เธอเกิดคำถามว่า เราจะทิ้งมันไปอย่างนี้เลยเหรอ?

กรุณาพบว่า ต้นน้ำการผลิตเสื้อ ส่วนมากมาจากการปลูกฝ้ายที่เป็นกิจกรรมทางการเกษตรซึ่งใช้ ‘น้ำ’ เยอะมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมติเรากินน้ำวันละ 2 ลิตร เสื้อ 1 ตัวจะใช้น้ำที่เรากินเป็นเวลา 3 ปี นั่นทำให้เธอได้เห็นว่าทะเลสาบที่เคยเป็นดินอุดมสมบูรณ์หลายจุด ตอนนี้กลายเป็นทะเลทราย

หรือประเทศไทยเอง กรุณาบอกว่ามีผ้าเดดสต็อกเหลืออยู่ประมาณสามแสนห้าหมื่นตัน ซึ่งสามารถนำมาผลิตเสื้อได้ประมาณ 700 ล้านตัวต่อปี นั่นแปลว่า ถ้าไม่มีใครใช้มัน ผ้าทั้งหมดนี้ก็จะถูกทำลายทิ้ง แม้ว่ามันจะยังเป็นของใหม่และยังคุณภาพดี

“ถ้าพี่ทำแบรนด์นี้ จะต้องมีคนถามว่าทำไมพี่ถึงทำ พี่ก็จะมีโอกาสบอกพวกหนูว่า ที่พี่ทำ ทำเพราะอะไร เพราะถึงแม้เราจะเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่เราทำบางอย่างได้” กรุณา บัวคำศรี กล่าว และย้ำกับเราว่า ทั้งงานนักข่าวสารคดี และงานแม่ค้า คืองานอุดมคติในแบบของเธอ

แม่ค้าคนนี้ชื่อ กรุณา

“เรื่องแฟชั่นเป็นสิ่งที่พี่สนใจเพราะมันใกล้ตัวเรามากที่สุด พี่ชอบใส่เสื้อยืดมาก เราเลยอยากตอบสนองความต้องการตัวเอง ซึ่งตอนที่พี่ไปทำสารคดี แต่ก่อนพี่ไม่เคยรู้ปัญหาเรื่องแฟชั่นมาก่อน พอลงไปดูจริงๆ โอ้โห ขนาดนี้เลยเหรอ ผ้าที่มันจะต้องถูกเผาทิ้ง ถูกฝังทิ้ง แม้ว่ามันจะผลิตเสื้อได้ไม่รู้อีกกี่แสนล้านตัว แต่มันกำลังจะถูกทิ้งเพียงเพราะว่ามันไม่ทันสมัย นั่นทำให้พี่อยากพูดเรื่องนี้ และคิดต่อว่า เราจะเอาแนวคิดที่ว่า เราไม่ควรทิ้งของพวกนี้ มาแปลเป็นสิ่งที่โน้มน้าวคนให้เห็นปัญหานี้ได้อย่างไร จนเกิดเป็นธุรกิจนี้ขึ้นมา”

ภายในบ้านอันร่มเย็นที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย และมีสุนัขตัวใหญ่ของเธอกระโจนเข้ามาทักทายเรา กรุณาที่วันนี้สวมใส่เสื้อยืดจากแบรนด์ของตัวเอง กำลังเล่าให้เราฟังถึงความตั้งใจในการทำ TARA ขึ้น ซึ่งก่อนแบรนด์จะเป็นรูปเป็นร่าง เธอใช้เวลาถึง 2 เดือนในการตอบตัวเองว่าจะทำอะไร โดยเริ่มจากการตอบคำถามตัวเองให้ได้ 35 ข้อ ที่ดีไซเนอร์ผู้เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่จุฬาฯ ยื่นโจทย์มาให้ทำ 

กรุณาบอกว่า “พี่ใช้เวลา 2 เดือนคุยกับตัวเอง นั่งคิดทุกวันว่า เราอยากทำแบรนด์ เพราะอะไร เงินเหรอ? มันก็ใช่ พี่ทำเพราะหาเงิน เราไม่ใช่นางเอกที่ทำเอาฟิน ไม่ได้รวยขนาดนั้น…แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะถ้าทำแค่เพราะเงิน พี่จะอยู่กับมันได้ไม่นาน มันต้องมีบางอย่างที่ hold เราเอาไว้ ซึ่งสำหรับพี่มันคือความรู้สึกว่า เรามีความหมายบางอย่างต่อใครสักคน หรือคนสักกลุ่ม และพี่ก็อยากทำให้แบรนด์นี้มันยั่งยืน แปลว่าพี่ตายแล้ว แบรนด์มันยังต้องอยู่ได้โดยไม่ยึดติดกับพี่ นั่นหมายถึงปรัชญาต้องแข็งแรง เราไม่ได้ทำฉาบฉวย เราต้องรู้ว่า เราจะทำอะไร? พี่กำลังทำธุรกิจที่พยายามลดการใช้ทรัพยากร หรือใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า เพื่ออะไร? เพื่อให้เรามีเครื่องมือในการใช้ทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมต่อไป เพื่อใคร? เพื่อเป็นกำลังให้ทีมงานหรือนักข่าวในอนาคตที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ได้ทำเรื่องนี้ต่อ เพราะปัจจุบันวิธีหารายได้ของสื่อ ต้องมีสปอนเซอร์”

เธอเสริมว่า สถานการณ์สื่อในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าทำยูทูบก็ต้องมียอดวิว แต่โชคร้ายที่บ้านเรายูทูบไม่ได้สามารถทำเงินในระดับที่เราจะนำเงินไปทำงานที่ใช้เวลา และใช้พลังงาน ใช้ทรัพยากรเยอะๆ ได้ โอเค เราอาจจะทำได้เป็นคลิปๆ ไป แต่ถ้าเราอยากจะทำอะไรที่ substantial มากๆ อย่างงานสารคดี มันไม่มีทางพอเลยค่ะ”

นั่นเป็นเหตุผลที่กรุณาลุกขึ้นมาสร้าง Ecosystem ในแบบฉบับของตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเธอและทีมงานได้ทำงานตามแพสชันต่อไป นั่นก็คือการทำข่าวสารคดี โดยเฉพาะประเด็น Global Crisis ที่เธอสนใจ

“ถ้าเกิดเราอยากจะทำงานต่อโดยมีอิสระในการคิดงาน การรอเงินสปอนเซอร์อย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะมันมีข้อจำกัดเยอะ หากเราจะทำเรื่อง Climate Change สปอนเซอร์ที่เราสะดวกใจพอที่จะทำกับเขาจะเหลือแค่ไม่กี่ที่ พี่เลยตัดสินใจทำของขายเอง ซึ่งการขายของนี้ก็ยังทำให้พี่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม และเกี่ยวพันกับประเด็น Global Crisis ที่พี่สนใจ”

ปักตะกร้า แล้วกดเอฟ ‘TARA’  

TARA มาจาก ธารา ที่หมายถึง ‘น้ำ’ และยังมาจากชื่อของ ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการคนปัจจุบันของกรีนพีซ พี่ชายของกรุณา ซึ่งเธอบอกว่าเป็น Personal Connection ที่ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอ

“โลโก้ของ TARA คือดอกเดซี่ เพราะมันเป็นดอกไม้ที่ทนมากๆ แม้ว่ามันจะโดนตัด มันก็จะขึ้นมาใหม่ได้ เป็นสัญลักษณ์ของความดื้อที่ไม่ยอมแพ้อะไร ซึ่งมันอาจจะสกัดมาจากว่าพี่เป็นคนยังไง ส่วน ธารา ก็แปลว่าน้ำ น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่คนไม่ค่อยเห็นว่ามันสำคัญ เพราะมันดูเหมือนจะได้มาฟรีๆ แต่ปัญหาเรื่องน้ำเป็นปัญหาใหญ่มาก อย่างการทำเสื้อ ต้นน้ำของมันก็คือการปลูกฝ้าย ที่เป็นกิจกรรมทางการเกษตรที่ใช้น้ำเยอะมาก ถ้าเรากินน้ำวันละ 2 ลิตร เสื้อตัวนึงจะใช้น้ำที่เรากิน 3 ปี ซึ่งพี่ได้ลงไปเห็นจุดที่ปลูกฝ้ายที่เคยเป็นทะเลสาบอุดมสมบูรณ์ ตอนนี้หลายจุดกลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว ซึ่งเราจะไม่โทษคนที่เดินไปซื้อเสื้อนะ แต่พอเราไม่เห็นปัญหาว่าอยู่ตรงไหน เราจะลืมคิดไปว่ากว่าจะมาเป็นเสื้อ มันเป็นอะไรมาบ้าง”

อย่างไรก็ตาม แม้กรุณาจะตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมมากเพียงใด แต่เธอจะไม่พูดว่าตัวเองกำลัง Go Green อยู่ หรือกำลังทำ Green Business โดยเด็ดขาด เพราะ TARA ไม่ใช่แบบนั้น เนื่องจากถึงเธอจะใช้ผ้าเดดสต็อกมาทำเสื้อยืดก็จริง แต่เธอไม่มีทางรู้เลยว่าต้นทางกว่าจะมาเป็นผ้าเหล่านี้ มันผ่านอะไรมาบ้าง นั่นเป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากจะ overclaim 

“เสื้อ TARA เป็นของใหม่ทั้งหมด นี่คือผ้ามือ 1 ที่หลุดออกมาจากเชลฟ์แค่ 1-2 อาทิตย์แล้วพี่ก็ไปเลือกมาใช้ ความสนุกคือการใช้สมอง ใช้เซนส์แฟชั่นว่า เราจะเอาของที่มีอยู่ มาทำอะไรได้บ้าง เสื้อบางคอลเล็กชันก็เป็นผ้าจากบริษัทต่างประเทศ ที่เขาสั่งมาทำเสื้อผ้าเด็ก แล้วเขายกเลิก พี่เลยเอามาตัดทำเสื้อผ้าผู้ใหญ่ และเรายังได้ผ้าทอสองหน้า ที่เป็นผ้าอินเตอร์ล็อคคุณภาพดีมาทำ ส่วนพวกดีเทลปก หรือขอบเสื้อ เราก็ต้องมาดูว่าสีไหน เข้ากับสีไหน แล้วเอามาสลับกัน กลายเป็นดีไซน์ที่แต่ละคอลเล็กชันก็จะไม่เหมือนกัน เป็นความแฟชั่น ที่เราไม่ตั้งใจให้แฟชั่น แต่มันก็กลายเป็นน่ารักดีเนอะ หรืออย่างเสื้อลายทางที่พี่เพิ่งทำ มันก็เป็นลายผ้าที่มาแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ไปทำใหม่ ซึ่งผ้ารุ่นนี้อาจจะหนาหน่อย แต่มันใส่สบายนะ มาจากยุโรป”

“เวลาที่พี่คิดจะทำอะไร พี่จะใส่ความ creative ลงไป เราจะไม่ได้ทำส่งๆ ไป แต่เราจะใส่ไอเดีย ใส่ดีไซน์ เพราะพี่เชื่อเรื่องของงานดีไซน์ เพราะของที่พี่อยากเสียเงินซื้อ จะเป็นของมีดีไซน์ มีที่มาที่ไป ให้เรารู้สึกอินกับมัน และอยากรักษามัน ดังนั้นแม้จะเป็นผ้าเดดสต็อกก็แต่ต้องใส่ดีไซน์เข้าไปเพิ่ม เพราะพี่อยากให้คนที่ซื้อเขาอยากใส่จริงๆ ไม่ใช่ซื้อเพราะสงสารพี่ณา เห็นใจพี่ณา แต่นี่ของที่ดีจริงๆ อย่างแอดมินพี่ บางทีมีคนพิมพ์มาว่า อยากอุดหนุน เป็นแฟนคลับคุณกรุณา แอดมินจะถามเลยว่า ใส่หรือเปล่าคะ ถ้าไม่ใส่อย่าซื้อนะ (หัวเราะ) คืออินดี้มาก เพราะเราอยากให้คนซื้อเขาเห็นคุณค่าของมันจริงๆ และเอาไปใช้จริงๆ”

“พอเราทำแบรนด์ในแบบที่เราเชื่อ เราจะทำได้แบบไม่รู้สึกผิด เพราะถ้าเราไม่เอาผ้าเดดสต็อกเหล่านั้นมา มันก็จะอยู่ในโกดังต่อไป และเมื่อเราได้ผ้ามา เราก็จะเอามาออกแบบ และจริงจังกับการผลิต ซึ่งโรงงานที่พี่ใช้ผลิต ก็เป็นโรงงานมาตรฐานส่งออกยุโรป วิธีการตัดเย็บเขาดีมาก ที่สำคัญ ก่อนร่วมงาน พี่จะลงไปคุยกับคนงานว่าเขาแฮปปี้ดีมั้ย ทำงานกี่ชั่วโมง แฟร์หรือเปล่า และเมื่อมีเวลา พี่ก็จะไปโรงงานทำกล่อง ว่ามีระบบบำบัดน้ำเสียมั้ย เขาปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า เพื่อให้เราสบายใจที่จะทำ” นอกจากนี้เสื้อยืดของกรุณาจะถูกแพคด้วย ‘สายเสื้อชั้นใน’ เดดสต็อกมาใช้แทนยางในการมัดเสื้อก่อนใส่ลงกล่องพัสดุที่ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล ซึ่งล้วนเป็นวัสดุที่หลงเหลือจากการผลิตในโรงงาน รวมถึงบางคอลเล็กชันอาจมีการให้ถุงผ้าเดดสต็อกกับลูกค้าไปด้วย

Slow Fashion อยู่กันอย่างนี้นานๆ นะเธอ

แม่ค้าคนนี้ย้ำว่าเธอพยายามจะใช้เคมีให้น้อยที่สุด แต่บางครั้งเธอก็ยังต้องย้อมสีผ้าบ้าง เช่น ได้ผ้าสีครีมมา แต่ในการทำธุรกิจจะทำขายแค่สีเดียวก็อาจเป็นไปไม่ได้ บางครั้งจึงต้องตัดใจย้อมเป็นสีอื่น นั่นทำให้ “ในการทำธุรกิจ ไม่มีทางที่ยูจะทำให้มันกรีนได้ 100% พี่ใช้ผ้าเดดสต็อกก็จริง แต่พี่ก็ไม่มีทางรู้เลยว่า ฝ้ายจากผ้าที่เอามาทำ มันเป็นฝ้ายออร์แกนิกหรือเปล่า หรือใช้สารเคมีเท่าไหร่มาก่อนหน้า ถ้ายูไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่ๆ ที่มีการปลูกฝ้ายเอง ยูไม่มีทางรู้หรอกว่าฝ้ายมาจากไหน หรือสมมติเราใช้ขวดรีไซเคิล กระบวนการขึ้นขวดตั้งแต่แรก มันก็ทำลายสิ่งแวดล้อมมาก่อนแล้ว การผลิตอะไรสักอย่าง มันคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยกันทั้งนั้น พี่เลยขอใช้คำว่า แบรนด์ที่ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด มีคุณค่า และใช้อย่างระวัง ดีกว่า” นั่นหมายความว่า ถ้า Fast Fashion กำลังแข่งกับความเร็ว เธอคนนี้ขอเลือกแข่งกับความช้าแบบ Slow Fashion ที่ทำเสื้อผ้าที่ใส่ได้ยาวๆ เป็น Basic Piece ที่หยิบมาใส่เมื่อไหร่และอยู่ได้กับทุกยุค

...

“ปัญหาในอุตสาหกรรมแฟชั่น และทุกๆ อุตสาหกรรม เกิดขึ้นเพราะเราบริโภคกัน ถามว่าการบริโภคผิดมั้ย ไม่ผิด เพราะการบริโภคเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ แต่พี่กำลังพูดถึงการบริโภคที่มันเยอะเกินไป”

กรุณาแชร์ประสบการณ์ตอนไปประเทศกัมพูชาให้เราฟังว่า วันนั้นเธอค่อนข้างช็อกกับภาพที่เห็น เธอบอกว่า “อุตสาหกรรม Fast Fashion มันมาเร็วไปเร็ว เพราะคนมันเป็นนิสัยของมนุษย์ที่ชอบอะไรใหม่ๆ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวว่า เรากำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างอยู่ จนกว่าเราจะรู้ข้อมูลอีกชุดนึง อย่างตอนพี่ไปกัมพูชา ตอนแรกพี่จะโฟกัสไปที่เรื่องของการใช้แรงงาน ว่าแฟร์หรือเปล่า แต่พอคุยไปคุยมา เราพบว่าจากแต่ก่อนที่เสื้อผ้าจะออก 3 รอบ เป็นซีซั่น ตอนนี้มันเปลี่ยนทุก 2-3 อาทิตย์แล้ว แปลว่าจำนวนที่ถูกทิ้งมันจะเยอะมากๆ เพราะเวลาที่อยู่บนเชลฟ์ มันน้อยลง เหลือเท่าไหร่ไม่สำคัญ เท่าตอนที่พี่ถามเขาว่าเหลือแล้วไปทำอะไร แล้วเขาบอกว่าต้องเผาทิ้งหรือฝังกลบ เนื่องจากเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ถ้าปล่อยออกไปเดี๋ยวมีคนเอาไปก๊อป ซึ่งพี่ช็อก เพราะมันเป็นหลายตัน แปลว่าถ้าเราผลิตล้านพับ อีกเป็นหมื่นพับที่ไม่ได้ใช้ ก็ต้องเอาไปเผา นี่คือปัญหา ยังไม่นับรวมว่า เขาใช้สารเคมีเท่าไหร่ ใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานทาสหรือเปล่าอีกด้วยนะ”

“ซึ่งถ้าพี่ทำแบรนด์ จะต้องมีคนถามว่าทำไมพี่ถึงทำ พี่ก็จะมีโอกาสบอกพวกหนูว่า ที่พี่ทำ ทำเพราะอะไร เพราะถึงแม้เราจะเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่เราทำบางอย่างได้ และจุดที่พี่เลือกก็คือจุดที่พี่สะดวกใจจะทำ ไม่ขัดกับความเชื่อ พูดได้เต็มปากว่าทำไมถึงทำ” 

“พี่อยากให้คนซื้อเสื้อยืดพี่ไป ได้ย้ำเตือนพวกเขาว่า การใส่เสื้อลายทางตัวนี้จะช่วยลดคาร์บอนเทียบเท่ากับระยะทางขับรถถึง 34.73 กิโลเมตร และการใส่เสื้อลายพื้นอีกรุ่นคลาสสิก จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ 5.17 กิโลกรัม ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ก็มาจากการที่พี่นั่งทำสารคดีนั่นแหละ มาจากประสบการณ์การทำข่าวของพี่”

“อย่างบ้านเราก็มีผ้าเดดสต็อกเหลืออยู่ สามแสนห้าหมื่นตัน ซึ่งสามารถนำมาผลิตเสื้อได้อีกประมาณ 700 ล้านตัวต่อปี”

กรุณารีแคปให้เราฟังอย่างจริงจังว่า จริงๆ แล้วทุกปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กล่าวมา ล้วนเป็น Global Crisis ที่จุดเริ่มต้นมาจากการแย่งชิงทรัพยากร ไม่ว่าจะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ ที่ดิน ฯลฯ เธอยกตัวอย่างว่า “อย่างน้ำท่วมแม่สายหนักๆ ก็เกิดจากการที่เราไม่มีข้อมูลที่เพียงพอว่าฝั่งพม่ามีน้ำเท่าไหร่ ถามกลับไปว่า ทำไมถึงไม่มีล่ะ อ๋อ เพราะตอนนี้พม่ากำลังมีสงครามการเมืองอยู่ และเมื่อฝั่งไทยไม่สามารถเข้าไปได้ตอนที่เขากำลังรบกัน มันก็ทำให้เราสูญเสียศักยภาพที่จะรู้ว่าฝั่งนู้นเขามีอะไรบ้าง พอเราไม่รู้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเขาไม่แคร์หรอกค่ะว่าคุณเป็นประเทศพม่า หรือเป็นประเทศไทย น้ำจะมาจากที่สูงลงที่ต่ำเสมอ แม่สายก็เลยต้องรับน้ำไปเต็มๆ นี่คือความเกี่ยวพันของสงครามความขัดแย้งกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เราควรให้ความสำคัญ”

เวลาผ่านไปรวดเร็ว บทสนทนาเดินทางมาถึงโค้งสุดท้าย กรุณา บัวคำศรี วาดภาพอนาคตของ TARA ไว้ว่า เธอจะขยับไปทำโปรดักต์อื่นๆ ที่มากกว่าเสื้อผ้า แต่ยังคงมุ่งเน้นกับสินค้าที่ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แชมพู เจลอาบน้ำ ซึ่งจะไม่มีส่วนผสมที่ทำลายสาหร่ายในน้ำโดยเด็ดขาด และจะขยับไปทำ Clean Beauty อย่างครีมกันแดดที่ไม่ทำร้ายปะการัง และจริงจังในระดับที่เข้มงวดเรื่องสาร 10 ตัวที่สหภาพยุโรปห้ามใช้ 

“การขายของก็คงต้องเป็นของที่เราสบายใจ ไม่อิหลักอิเหลื่อว่าฉันกำลังขายอะไรอยู่ พี่ไปขายอาหารเสริมพี่คง งง ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่พี่ไม่ได้กิน แต่สิ่งที่พี่กำลังขายคือสิ่งที่เราเราใช้มันจริงๆ และพี่ก็รู้ว่าพี่กำลังพูดอะไรอยู่ พี่สะดวกใจในการพูด มันไม่ต่างอะไรจากการทำข่าวที่พี่เชื่อเลย การเป็นแม่ค้ามันก็ใช้สกิลรายงานข่าวนั่นแหละค่ะ”

และนี่คือสิ่งที่เธออยากฝากเกี่ยวกับวิธีการช่วยสิ่งแวดล้อมของคนในยุคปัจจุบัน ที่เธอเชื่อว่า ใครอยากลงมือทำตอนนี้ ทำได้เลย

“วิธีการที่ดีที่สุดในการช่วยสิ่งแวดล้อมคือ การ ‘ลด’ ไม่ต้องใช้เยอะ จบ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถเอ็นจอยกับชีวิตได้นะ พี่จะไม่เข้าไปบอกว่าใครควรทำหรือไม่ควรทำอะไร สมมติพี่อยากซื้อเสื้อตัวละหมื่น พี่ก็ซื้อได้ ถ้าใช้มันสัก 5 ปี แต่พี่กำลังพูดถึงว่า ถ้าเรารู้ปัญหา แล้วเราอยากช่วย มันทำได้ โดยไม่ต้องขัดกับจริตหรือไลฟ์สไตล์ อันนี้คือความเห็นพี่นะ แต่พี่ก็จะไม่ไปแทรกแซงว่า คุณควรซื้อเสื้อเดือนละตัวพอ หน้าที่ของพี่คือเป็นสื่อที่ส่งข้อมูลไป คนรู้สึกว่าอยากเปลี่ยน ก็ดี แต่ถ้าไม่เปลี่ยน เราก็จะไม่ตัดสินค่ะ”

แชร์บทความนี้

RELATED

HOT TOPICS

...

...