เคยสังเกตกันไหมว่าทำไมอยู่ๆ กลิ่นหอมที่เคยชอบและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กลิ่น ไม่ว่าจะนำ้หอมหรือเทียนที่เคยจุดอยู่ทุกวัน ในบางวันกลับทำให้รู้สึกเหม็นแบบหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ หรืออาจถึงขั้นรู้สึกป่วย ไมเกรนขึ้น เวียนหัวคลื่นไส้ จนอยากหนีออกไปจากตรงนั้นให้ได้

ทำไมนำ้หอมที่เคยหอม กลับรู้สึกเหม็นเวลามีเมนส์! รู้จัก ‘Scent Cycle’ กลไกการทำงานของร่างกาย ที่ทำให้ผู้หญิงรับรู้กลิ่นในแต่ละช่วงของเดือนต่างกัน

ทำไมนำ้หอมที่เคยหอม กลับรู้สึกเหม็นเวลามีเมนส์! รู้จัก ‘Scent Cycle’ กลไกการทำงานของร่างกาย ที่ทำให้ผู้หญิงรับรู้กลิ่นในแต่ละช่วงของเดือนต่างกันเคยสังเกตกันไหมว่าทำไมอยู่ๆ กลิ่นหอมที่เคยชอบและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กลิ่น ไม่ว่าจะนำ้หอมหรือเทียนที่เคยจุดอยู่ทุกวัน ในบางวันกลับทำให้รู้สึกเหม็นแบบหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ หรืออาจถึงขั้นรู้สึกป่วย ไมเกรนขึ้น เวียนหัวคลื่นไส้ จนอยากหนีออกไปจากตรงนั้นให้ได้&nbsp;นั่นเป็นเพราะ ‘กลิ่น (ที่เคย) หอม’ เหล่านั้นกำลังทำงานกับเคมีข้างในร่างกายของเราอยู่ โดยเฉพาะกับผู้หญิงซึ่งฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และส่งผลให้การรับรู้กลิ่นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเช่นกัน ยิ่งในช่วงมีประจำเดือนที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นเท่าไร การรับรู้กลิ่นของผู้หญิงก็จะยิ่งคมชัดขึ้นตามไปด้วย&nbsp;“ในช่วงเวลาที่เกิดการไข่ตก ไม่จำเป็นว่าต้องได้กลิ่นอะไรฉุนๆ แรงๆ เท่านั้นนะคะ แค่กลิ่นจางๆ ของอะไรสักอย่างก็สามารถส่งผลต่อร่างกายของผู้หญิงได้แล้ว” เจสซี วิลเนอร์ (Jessie Willner) และ ฮาโนเวอร์ บูธ (Hanover Booth) ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอม และผู้ก่อตั้งแบรนด์ Discothèque อธิบายถึงปรากฏการณ์นี้&nbsp;เป็นความจริงที่ว่า น้ำหอมทำงานกับระบบประสาทและสมองของมนุษย์ รวมถึงอารมณ์ของคนเราอย่างน่ามหัศจรรย์ และกลไกที่ทำให้ผู้หญิงเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและอารมณ์อยู่แทบตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงระหว่างช่วงมีประจำเดือนที่มักจะมีภาวะอารมณ์สวิง อยู่ๆ ก็นอยด์ง่ายกว่าปกติ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไปจนถึงแพนิค วิตกกังวล และซึมเศร้า&nbsp;นักปรุงน้ำหอมชาวอังกฤษ รูธ มาสเทนบรอค (Ruth Mastenbroek) บอกว่าการปรุงน้ำหอมโดยการคำนึงถึงส่วนผสมและวัตถุดิบให้เหมาะกับภาวะต่างๆ ของผู้หญิงจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อให้กลิ่นเป็นตัวช่วยบรรเทาความตึงเครียดของทั้งร่างกายและจิตใจระหว่างช่วงเวลาแห่งพายุอารมณ์นั้นได้&nbsp;น้ำหอมมีหลักการการทำงานกับร่างกายของผู้หญิงในแต่ละช่วงเวลาเหมือนกับนาฬิกาที่เรียกว่า ‘Scent Cycle’ ซึ่งหากเราสามารถ Track นาฬิกาของร่างกายในแต่ละช่วงเวลาได้แล้ว ก็อาจช่วยให้รู้ว่าเอฟเฟ็กต์ของน้ำหอมแบบไหนที่เวิร์ก หรือไม่เวิร์กกับร่างกายและอารมณ์ในช่วงเวลานั้น และทำให้น้ำหอมที่เราชอบไม่กลายเป็นฝันร้ายอีกต่อไป&nbsp;Days 1-5 : Citrus / Herbsแฮนนาห์ เอลเดอสัน (Hannah Alderson) ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนและโภชนาการ ให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ Glamour UK ว่าช่วงวันแรกๆ ของการมีประจำเดือนที่ผู้หญิงสูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ ช่วงเวลานี้เองที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายของผู้หญิงจะอยู่ในระดับที่ต่ำ นำมาสู่อาการทางร่างกายอย่างตะคริว เจ็บเต้านม ปวดหัว เหนื่อยง่าย หรืออารมณ์สวิงราวกับรถไฟเหาะ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ นักปรุงน้ำหอมแนะนำว่าช่วงเวลานี้ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมที่มีกลิ่นเข้มข้นรุนแรงเกินไป เพราะจะยิ่งเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้รู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้นไปอีก ตัวช่วยชีวิตสำหรับ 1-5 วันแรกอย่างกลิ่นแนวซิตรัสเปรี้ยวสดชื่นของมะกรูด เลมอน หรือส้มแมนดาริน ที่ให้ความรู้สึกรีเฟรชสดชื่นอาจเป็นคำตอบ เพราะน้ำมันของซิตรัสมีคุณสมบัติช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้&nbsp;นอกจากนั้นตัวเลือกอย่างกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์และกลิ่นประเภทพืชสมุนไพร ไม้สน (Juniper) หรือใบไทม์ (Thyme) ยังช่วยเรียกคืนพลังงานและให้ความผ่อนคลายจากอารมณ์เหนื่อยล้าได้ด้วยDays 6-12 : Musk / Iso E Super / Roseก่อนจะเข้าช่วงมีประจำเดือนประมาณ 4 วัน ในระหว่าง 4 วันนั้น ประสาทการรับกลิ่นของผู้หญิงจะยิ่งรุนแรง คมชัดขึ้น และเมื่อยิ่งเข้าใกล้ช่วงที่ผู้หญิงไข่ตก ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นจนอาจทำให้รู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น พร้อมๆ กับทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์ทางเพศมากขึ้นตามไปด้วย ในทางชีววิทยา ร่างกายของผู้หญิงจะมีแรงดึงดูดทางเพศมากที่สุดในช่วงเวลานี้ แถมดึงดูดสารฟีโรโมนในเพศชายได้ดีที่สุดอีกด้วย&nbsp;และสัญญาณของการบ่งบอกว่าไข่ใกล้ตก ก็สามารถสังเกตได้จาการรับรู้กลิ่นที่ไวขึ้นของผู้หญิงนี่แหละ ซึ่งนักปรุงน้ำหอมแนะนำว่าแทนที่จะฉีดกลิ่นแรงๆ แฟนตาซี ลองมองหาน้ำหอมกลิ่นใกล้เคียงกับกลิ่นธรรมชาติของเรามากที่สุด อย่างเช่นน้ำหอมประเภท Iso E Super หรือน้ำหอมที่มีสารสกัดเลียนแบบกลิ่นผิวของมนุษย์ที่เข้ากับธรรมชาติของกลิ่นตัวคนเราได้ดี แถมคุณสมบัติของ Iso E Super ยังให้ความรู้สึกถึงกลิ่นที่แตกต่างกันออกไปเมื่ออยู่บนตัวของแต่ละคน บางคนอาจได้กลิ่นหอมอ่อนคล้ายไม้จันทน์หรือไม้สนซีดาร์ บางอาจได้กลิ่นปนกลิ่นมัสก์หน่อยๆ อีกทั้งกลิ่นโทนมัสก์จะช่วยขับเน้นฟีโรโมนพร้อมกับสร้างความรู้สึกเย้ายวนได้ดียิ่งขึ้นด้วย&nbsp;แต่ถ้าใครไม่ถนัดโทนมัสก์และชอบกลิ่นโทนฟลอรัลมากกว่า กลิ่นอย่างดอกมะลิ กุหลาบ หรือกลิ่น Patchouli (พิมเสน) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เวิร์กไม่เลว เพราะมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์และปลุกเร้าประสาทสัมผัสได้ไม่แพ้กันDays 13-18 : Vanilla / Caramel / Praline / Fruitหลังจากช่วงไข่ตกของผู้หญิงผ่านไป ก็จะตามมาด้วยระยะที่เรียกว่า ‘ลูเตียล’ (Luteal Phase) ที่จะเกิดขึ้นหลังจากไข่ตกจนถึงช่วงการมีประจำเดือนครั้งถัดไป ซึ่งเมื่อเกิดการไข่ตกแล้ว รังไข่จะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในระดับสูงขึ้น พร้อมกับสร้างผนังมดลูกให้หนาและสมบูรณ์ที่สุดเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของตัวอ่อน ตามธรรมชาติของผู้หญิงในช่วงเวลานี้ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่เรียกว่า ‘Relaxing Hormone’ ทำหน้าที่เหมือนเป็นยาระงับประสาทที่ให้ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย จนถึงกับทำให้อยากของหวาน อยากกินขนมขบเคี้ยว หรือกินอะไรแบบตามใจตัวเอง เน้นอร่อย ไม่เน้นประโยชน์มากเป็นพิเศษ&nbsp;เช่นเดียวกับน้ำหอมที่ร่างกายในช่วงนี้ต้องการก็อาจเป็นกลิ่นหอมหวานของขนม อย่างกลิ่นคาราเมล ช็อกโกเเลต พราลีน หรือเบอร์รี่ นักปรุงน้ำหอม อเล็กซานดร้า รูส์ (Alexandra Roos) บอกว่ากลิ่นโทนนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกเหมือนเรากำลังสปอยล์ตัวเอง ถูกโอบกอด ปลอบประโลม พร้อมกับได้สูดหายใจลึกๆ ไปพร้อมกัน มีแค่เงื่อนไขเดียวคือหลีกเลี่ยงกลิ่นโทนซิตรัสที่มีความเปรี้ยวจัดๆ ไว้ก่อน เพราะอาจเปลี่ยนความรู้สึกผ่อนคลายเป็นสร้างความรู้สึกฉุนเฉียวรุนแรงแทนได้&nbsp;Days 19-28 : Fennel / Bergamot / Lavender / Marineตามธรรมชาติแล้ว ถ้าร่างกายผู้หญิงไม่ได้ตั้งครรภ์ในช่วงเวลานี้ ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงพร้อมกับประจำเดือนที่เริ่มหมด ร่างกายจะเริ่มบวมน้ำ และระดับสารเซโรโทนินที่ช่วยให้นอนหลับก็จะลดลงตามไปด้วย ช่วงนี้เองที่การรับรู้กลิ่นอะไรก็ตามจะส่งสัญญาณไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่จัดการอารมณ์ ความจำ รวมถึงสัญชาติญาณของเรา นักปรุงนำ้หอมจึงแนะนำว่า น้ำหอมที่ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้กับระบบประสาทน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด อย่างเช่นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกของธรรมชาติ กลิ่นอากาศสดชื่น กลิ่นแนวป่า กลิ่นไม้สน หรือกลิ่นอ่อนๆ ของทะเล เป็นต้น&nbsp;เช่นเดียวกับกลิ่นโทนพืชสมุนไพรอย่าง Fennel (ยี่หร่า) ที่ในน้ำมันมีสารประกอบคล้ายๆ กับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเยียวยาและฟื้นฟูอาการ PMS อันหนักหน่วงจากช่วงมีประจำเดือนของผู้หญิงได้ หรืออีกกลิ่นอย่างใบไทม์ และลาเวนเดอร์ที่เคยมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Geochang Provincial College ในเกาหลีใต้ พบว่าสามารถช่วยลดระดับความดันเลือดได้ และยิ่งเมื่อใช้ควบคู่กับน้ำหอมที่มีส่วนผสมของมะกรูด หรืออิลาง อิลาง (Ylang Ylang) ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดระดับฮอร์โมนความเครียดภายในร่างกายลงได้อีกด้วย&nbsp;อ้างอิง <a href="https://www.glamourmagazine.co.uk/article/perfume-on-your-period" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.glamourmagazine.co.uk/article/perfume-on-your-period</a><a href="https://www.gqthailand.com/grooming/article/what-is-a-skin-scent" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.gqthailand.com/grooming/article/what-is-a-skin-scent</a><a href="https://www.babyandmom.co.th/q-a-article/33" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.babyandmom.co.th/q-a-article/33</a>

จากคอลเลคชั่น J’aime Paris สู่แคมเปญ
Jacquemus Olympic และนี่คือแบรนด์แฟชั่น
ที่บอกรักบ้านเกิดตัวเองได้แบบไม่มีใครเกิน

เทรนด์การทำ ‘หูกาง’ หรือที่คนจีนเรียกว่า ‘Elf Ears’ ซึ่งเป็นหนึ่งทริกการยกหน้าให้เรียวและเป๊ะมากขึ้นของหนุ่มสาวชาวจีน โดยไม่ต้องทำอะไรกับหน้า แต่มาทำกับหูแทน เพื่อหลอกตา หลอกองศา ให้หน้าดูเล็กขึ้น

เคล็ดลับหน้าเรียวของหนุ่มสาวชาวจีน ด้วย ‘หูกาง’ กับ ‘Elf Ears’ เทรนด์การฉีดฟิลเลอร์ หรือศัลยกรรมหูให้ยื่นออกมา เพื่อหลอกตาให้หน้าดูเล็กลง ที่มาแรง
ในจีน และในไทยก็กำลังมา

เมื่อคนเรียกการแต่งตัวLesbian Fashion’ น่าสนใจอยู่เหมือนกันว่าคำๆ นี้คืออะไร กำลังหมายถึงแฟชั่นแบบไหนกันแน่ แล้วทำไมการแต่งตัวของคนดังที่นิยามตัวเองว่าเป็น ‘เลสเบี้ยน’ ถึงได้กลายเป็น Controversy ให้คนถกเถียงกันได้อยู่เสมอ

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Beauty

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS