กิจกรรมโดย slowcombo สเปซใหม่ใจกลางสามย่านที่นิยามตัวเองว่าเป็น ‘Mindfulness Playground’

ชวนดูแลมดลูกผ่าน spiritual journey ฉบับรวบรัดในงาน ‘Wonder Womb มดลูกมหัศจรรย์’

พักใหญ่แล้วที่การเดินทางทางจิตวิญญาณหรือที่เรียกกันแบบคุ้นปากว่า spiritual journey เริ่มไต่เทรนด์ในหมู่คนที่ต้องการค้นหาทางเลือกเพื่อมีสติรู้อยู่กับตัวเอง แต่เรายังไม่เห็นกิจกรรมแนวนี้แพร่หลายในกรุงเทพฯ มากเท่าที่อื่น โดยเฉพาะเกาะพะงันที่แทบจะเป็นสวรรค์ของการรีทรีต เป็นจุดหมายปลายทางที่หลายคนปักไว้เพื่อไปบำบัดตัวเองจากสิ่งรบกวนทางใจ จนมาปีนี้ที่เราเริ่มเห็นเวิร์คช็อปแบบ 1-2 ชั่วโมง ผุดขึ้นตามสเปซเล็กๆ ทั่วกรุงเทพฯ อย่างการนอนอาบเสียง (sound bath) ซึ่งเป็นการบำบัดด้วยคลื่นเสียง บ้างก็ใช้ขันทิเบต บ้างก็ใช้ขันคริสตัล คลาสโยคะที่ปิดท้ายด้วยการเปิดไพ่เพื่อเข้าใจตัวเอง และกิจกรรมอื่นตามแต่จะออกแบบกันจนเมื่อสุดสัปดาห์ต้นเดือนธันวาคม เราก็ได้รับการชักชวนให้ไปร่วมงาน ‘Wonder Womb มดลูกมหัศจรรย์’ งานจัดขึ้นสองวัน แต่เราไปเข้าร่วมเพียงวันเดียว แม้รายนามกิจกรรมจะไม่ใช่อะไรที่เราคุ้นเคย แต่ก็พอจะบอกได้ว่าผู้จัดอยากให้เราได้เรียนรู้ความสำคัญของมดลูกที่มักจะถูกหลงลืมท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตสมัยใหม่ โดยใช้ spiritual journey แบบที่เราเกริ่นไปเป็นเครื่องนำทางงานนี้จัดโดย slowcombo สเปซใหม่ใจกลางสามย่านที่นิยามตัวเองว่าเป็น ‘Mindfulness Playground’ เพราะนอกจากจะสโลวแล้วยังต้องสนุก นำโดย อิ๊บ-คล้ายเดือน สุขะหุต ที่คิดอยากสร้างพื้นที่ที่เปิดกว้างทางกายและใจให้คนรุ่นใหม่ ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตตัวเองในช่วงหลังที่รู้สึกว่าการจัดสมดุลระหว่างการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และการดูแลลูกให้มี wellbeing ที่ดีและยั่งยืนเป็นเรื่องยาก เธอจึงเริ่มสนใจการดูแลสุขภาพ การใช้ plant medicine และ spiritual journey รูปแบบต่างๆ มาตั้งแต่ตอนนั้น‘Energy Space’ บนชั้นสองของ slowcombo คือสถานที่จัดงาน ภายในเหมือนสตูดิโอโยคะขนาดย่อม ตกแต่งเยอะกว่าสตูดิโอโยคะทั่วไปเล็กน้อย เพราะนอกจากต้นไม้ในบ้านก็มีของตกแต่งหน้าตาไม่คุ้นเคย อย่างหิน คริสตัล เทียนหอม และเครื่องหอมบนโต๊ะเตี้ยด้วย ส่วนกิจกรรมแบ่งเป็นสามช่วง ได้แก่ Masterclass: Intro to Fertility Awareness Method and Menstrual Cycle Awareness, Cacao Ceremony &amp; Shamanic Sound Journey และ Divine Feminine Embodiment &amp; Mystical Dance<img src="https://media.thairath.co.th/image/qa1jeT3T3KfAIs1a2hiFfmXA73qEA8eLg3K9vV96nJEoQN8e9vA1.jpeg" data-id="100755" data-url="https://media.thairath.co.th/image/qa1jeT3T3KfAIs1a2hiFfmXA73qEA8eLg3K9vV96nJEoQN8e9vA1.jpeg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib"> Fertility Awareness Method (FAM) คืออะไรช่วงแรกมีชื่อว่า Masterclass: Intro to Fertility Awareness Method and Menstrual Cycle Awareness เป็นการบรรยายสามชั่วโมงโดย Jamie Lauren ที่บอกเราว่า ในอดีตการใช้ยาคุมกำเนิดเคมีชนิดต่างๆ ทั้งแบบเม็ดและแบบฝังอาจเป็น ‘ตัวเลือก’ แต่ในวันนี้ที่ผู้หญิงใช้ยาคุมกันอย่างแพร่หลาย (จนเสี่ยงต่อผลกระทบรุนแรงทางกายและใจจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน) เรายังมีอีกหนึ่ง ‘ตัวเลือก’ นั่นคือการไม่ใช้มันแต่ถ้าไม่ใช้ แล้ววิธีไหนกันถึงจะได้ผลเท่ากันหรือมากกว่า เจมี่เสนอทางเลือกที่เรียกว่า Fertility Awareness Method (FAM) แก่นของหลักการนี้คือ body awareness หรือการสังเกต Bio-markers ของตัวเองในแต่ละวันตลอดเดือน ไม่ใช่แค่ช่วงที่มีประจำเดือน เช่น เลือดประจำเดือน ตกขาว อุณหภูมิกายขณะพัก (Body Basal Temperature) โดยสามอย่างนี้มีตัวชี้วัดชัดเจน นอกจากนั้นยังมีอาการต่างๆ ที่ใช้ประกอบ เพื่อจะบอกได้ด้วยตัวเองว่าวันไหนกำลังจะตกไข่ วันไหนที่ไข่เพิ่งตกไปวันก่อนหน้า และช่วงไหนที่ไม่ใช่ช่วงเจริญพันธุ์หรือพร้อมตั้งครรภ์<img src="https://media.thairath.co.th/image/qa1jeT3T3KfAIs1a2hiFfmXA79bC0BUKihRmptgRW8GdI8Ie9vA1.jpeg" data-id="100755" data-url="https://media.thairath.co.th/image/qa1jeT3T3KfAIs1a2hiFfmXA79bC0BUKihRmptgRW8GdI8Ie9vA1.jpeg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib"> แม้หลักการทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยาจะอธิบายหลักการนี้ได้ แต่เราและบางคนอาจจะไม่ซื้อวิธีการนี้นัก จนเกิดคำถามว่า เราจะตกไข่วันเดิมทุกเดือนได้ยังไงในเมื่อมีปัจจัยภายนอก เช่น ความเครียด เข้ามารบกวน คำตอบของเจมี่คือถ้าเราจดบันทึก Bio-markers ไปเรื่อยๆ ทุกวัน เป็นเวลาหลายเดือน เราจะเห็นรูปแบบของรอบเดือนตัวเอง แล้วเราจะออกแบบไลฟ์สไตล์เราได้ดีขึ้น นำไปสู่การแนะนำแนวคิด Inner Seasons หรือการเปรียบรอบเดือนของผู้หญิงเป็น 4 ฤดู (ก่อนเมนส์มาคือฤดูใบไม้ร่วง เมนส์มาคือฤดูหนาว ก่อนตกไข่คือฤดูใบไม้ผลิ ตกไข่คือฤดูร้อน) เพื่อปรับไลฟ์สไตล์ตัวเองตามที่เรามักจะทำในฤดูนั้น เช่น เมื่อเมนส์มา เราควรทำอะไรช้าๆ เหมือนจำศีลในฤดูหนาว ฯลฯ แต่เราคิดว่า เมื่อบ้านเราไม่มีฤดูแบบนั้น การใช้เส้นเรื่องนี้มาแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลยอาจจะทำให้เราทำตัวไม่ถูกอยู่สักหน่อยCacao Ceremony ที่ทำให้บางคนใจสั่น บางคนร้องไห้หลังจากรู้จักกับมดลูกและการขึ้นลงของฮอร์โมนเพศหญิงแบบละเอียดยิบ เราก็เข้าร่วมช่วงต่อไปคือ Cacao Ceremony &amp; Shamanic Sound Journey โดยมีบัว-นลินีและไมเคิลเป็นผู้นำกิจกรรม ผู้เข้าร่วมจะนั่งเป็นวงกลมใหญ่ๆ กำหนดลมหายใจร่วมกัน แล้วทั้งสองก็จุดไม้หอมศักดิ์สิทธิ์ พาโล ซานโต (Palo Santo) เดินชำระล้างพลังงานของผู้เข้าร่วมทีละคน ก่อนจะให้เราดื่มคาเคาซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดกับชนเผ่าในอดีตและช่วยชำระล้างร่างกายและจิตใจได้ ส่วนที่ทั้งสองเตรียมมาเป็นคาเคาจากกัวเตมาลาเบลนด์กับคาเคาจากเชียงราย ใส่ซินนามอนเล็กน้อย ผลที่จะเกิดกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนตื่นเต้นใจสั่น บางคนปวดหัวไมเกรนเล็กน้อย บางคนร้องไห้ บางคนรู้สึกกึ่งๆ จะหลุดไปอีกโลกหนึ่งหลังจากดื่มคาเคากันสักพัก บัวและไมเคิลก็ให้ทุกคนนอนลงและเริ่มใช้เสียงบำบัดระหว่างที่คาเคาอยู่ในร่างกาย ทั้งคู่ใช้กลอง Shamanic drum เครื่องไม้ไผ่ และเสียงร้องในภาษาพืช ภาษาพื้นถิ่นของสเปน และภาษาพื้นเมืองอื่นบรรเลงไปเรื่อยๆ กลางห้องบ้าง เดินไล่มาตรงที่แต่ละคนนอนอยู่บ้าง เหมือนกำลังเลียนเสียงน้ำไหล เสียงฝนตก เสียงลมพัดใบไม้ เสียงธรรมชาติในป่า เมื่อบรรเลงจบก็เข้าสู่ช่วงที่บัวและไมเคิลชวนคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลังของธรรมชาติกับมดลูกในฐานะจุดกำเนิดของชีวิตและความคิดสร้างสรรค์ ก่อนบัวจะเข้าฌาน เชื่อมต่อกับไกด์ทางจิตวิญญาณให้มาตอบปัญหาทางใจของผู้เข้าร่วมร่ายรำไร้สเต็ป เชื่อมต่อกับมดลูกและความเป็นหญิงเมื่อมาถึงท้ายวัน เราก็เข้าสู่ช่วง Divine Feminine Embodiment &amp; Mystical Dance โดย Nashwa ที่อนุญาตให้เราเคลื่อนไหวร่างกายไปตามโจทย์ ตามดนตรี ตามการสื่อสารกับคนในกลุ่ม โดยไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และเมื่อเป็นเรื่องของมดลูก เธอจึงนำเราให้ใช้ร่างกายท่อนล่าง ลองไม่เกร็งท้องน้อย กางขา ย่อเข่า ปล่อยส่วนล่างของเราไปตามแรงโน้มถ่วง ระหว่างที่เพลงบรรเลงพาเราให้เคลื่อนกายไปตามจังหวะ และเมื่อจบช่วงร่ายรำ เธอก็นำเราเข้าสู่ช่วง gratitude exerciseลองนึกถึง gratitude diary ที่เคยมีคนฮิตทำกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่คราวนี้เธอให้เราจับคู่กับคนในห้อง นั่งหันหน้าเข้าหากัน แล้วให้คนหนึ่งถามว่า “คุณรู้สึกขอบคุณอะไร” และเมื่ออีกคนตอบ ก็ถามซ้ำไปเรื่อยๆ จนหมดเวลา ก่อนจะสลับคนถาม เพราะเธอเชื่อว่าการทำซ้ำจะช่วยดึงคำตอบที่แท้จริงออกมาได้ และเราจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมีสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณอยู่เยอะกว่าที่คิด ส่วนคำถามต่อไปคือ “ความรักคืออะไรสำหรับคุณ” เพื่อนำให้ผู้เข้าร่วมลองพูดคุยเกี่ยวกับความรักตัวเองกันดู ก่อนจะชวนเรากลับมาเคลื่อนไหวร่างกายกันอีกรอบ โดยให้ทำท่าเลียนแบบเทพี เช่น เจ้าแม่กวนอิม และอโฟรไดท์ (Aphrodite) เธอบอกว่าผู้หญิงมีส่วนโค้งเว้าและความงามในแบบของตัวเอง แต่ในชีวิตประจำวันมีแต่เส้นตรง ขนาดท่าโยคะยังเป็นเส้นตรงทื่อๆ เธอจึงอยากให้ลองโอบกอดความสวยงามของผู้หญิงแบบเทพีองค์ต่างๆ หรือจะกลับไปทำหน้ากระจกที่บ้านก็ได้สิ่งที่น่าสนใจคือเธอชวนคุยตอนท้ายว่า ผู้หญิงเราล้วนกักเก็บความทรงจำและประสบการณ์ของบรรพบุรุษฝ่ายหญิงของตนไว้ในมดลูกถึง 7 รุ่น ความเจ็บปวดที่คนรุ่นก่อนแบกต่อๆ กันมาเป็นเวลายาวนานยังคงฝังลึกอยู่ในตัวเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงข้อนี้ ก็อาจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้หาทางปลดปล่อยมันและส่งต่อมันไปยังผู้หญิงรุ่นถัดไปให้น้อยที่สุด เราเองคิดว่าอาจไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายดายนักและคงมีเป็นร้อยพันวิธีให้ทดลอง แต่จะถูกจริตกับวิธีไหนก็ที่สุด ก็คงแล้วแต่เราจะหาคำตอบให้ตัวเองกันนั่นแหละ‘Wonder Womb มดลูกมหัศจรรย์’ เป็นหนึ่งในกิจกรรมแรกของ slowcombo ส่วนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีงาน ‘Slow Soulful Market ตลาดใจฟู’ ประกอบด้วยโซนออกร้านที่มีทั้งอาหาร เนเชอรัลไวน์ คราฟท์เบียร์ โฮมเมดสกินแคร์ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ อย่างการบำบัดด้วยคลื่นเสียง Cacao Ceremony ดูดวงไพ่ทาโรต์ และเวิร์คช็อปจัดดอกไม้ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส หากใครสนใจกิจกรรมสโลวๆ slowcombo อาจเป็นอีกสเปซใจกลางเมืองที่อาจจะอยากแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกัน

Sexual aftercare หรือการดูแลใจหลังมีเซ็กซ์ เป็นสิ่งที่บางคู่รักอาจละเลยมันไป เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น ซึ่งนั่นส่งผลต่อ ‘ความรู้สึกแย่’ ของอีกฝ่ายเต็มๆ เพราะจริงๆ มันจำเป็น เหมือนการใส่ใจว่าคู่ของเราเขา “โอเค” หรือเปล่า

เสวจบ เซ็กซ์จบ แต่อารมณ์ยังต้องการการดูแล Sexual aftercare การใส่ใจความรู้สึกอีกฝ่ายหลังมีเซ็กซ์ ผ่านภาษากายและคำพูดที่ sex therapist ต่างแนะนำว่าไม่ควรละเลย

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ในหลายๆ สังคมจะค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ ไปจนถึงการสมรสอย่างเท่าเทียมกันของคนทุกเพศมากขึ้น แต่กระแสหนึ่งจากโลกโซเชียลฯ เมื่อไม่นานมานี้เองที่หลายคนพูดถึงการแต่งงานแบบที่เรียกว่า Lavender Marriage จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของความสัมพันธ์ในยุคนี้ ซึ่งเราว่าทั้งน่าสนใจและน่าตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งถึงกลับไปให้คุณค่าและโอบรับกับสิ่งนี้กันนะ 

Lavender Marriage เมื่อคนเพศหลากหลายเลือกแต่งงานตามเพศกำเนิด
ไม่ใช่แค่เพื่อปิดบังความเควียร์ 
แต่ยังเป็น ‘ทางเลือก’ ใหม่ๆ ที่อาจตอบโจทย์รูปแบบความสัมพันธ์ในโลกยากๆ ใบนี้

สถานการณ์ ‘หวั่นไหวกับคนอื่น ทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว’ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในซีรีส์เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ตอนจบของเรื่องราวนี้อาจไม่ได้สวยงามเหมือนในซีรีส์ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะเลือกเส้นทางไหน และจัดการความรู้สึกหวั่นไหวนั้นอย่างไร? ชวนกลับมาทบทวนความสัมพันธ์และความรู้สึกของตนเอง ผ่านทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก

‘มีแฟนอยู่แล้ว แต่กลับหวั่นไหวกับคนอื่น’ ชวนทบทวนความรู้สึก เพื่อขีดเส้นความสัมพันธ์ ผ่านบทเรียนจากซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน Mad Unicorn’ ด้วยทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก (Triangular Theory of Love)​​

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Wellness

ชวนดูแลมดลูกผ่าน spiritual journey ฉบับรวบรัดในงาน ‘Wonder Womb มดลูกมหัศจรรย์’

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS