ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีแต่ข่าวสะเทือนใจที่บางครั้งถาโถมเข้ามาติดๆ กันจนเล่นงานจิตใจของเราให้หมองหม่น และหดหู่กับสภาพสังคมลงไปทุกที ทุกอย่างจึงควรต้องมีบาลานซ์ บางครั้งการถอยห่างออกจากหน้าฟีดบ้างเมื่อ ‘รู้สึกว่าไม่ไหว’ ก็อาจจำเป็นเพราะจิตใจเราเองก็สำคัญ

ชวนดูลิมิตของตัวเองในการรับข่าวสารร้ายๆ และยับยั้งชั่งใจในการแสดงความคิดเห็นเมื่อการปั่นกระแสความเกลียดชังทั้งในใจและในอินเทอร์เน็ต ไม่เคยเป็นผลดีกับใคร

ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีแต่ข่าวสะเทือนใจที่บางครั้งถาโถมเข้ามาติดๆ กันจนเล่นงานจิตใจของเราให้หมองหม่น และหดหู่กับสภาพสังคมลงไปทุกที ไม่ว่าจะข่าวฆาตกรรม ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย ละเมิดสิทธิมนุษยชน ความอยุติธรรมที่เกิดกับผู้คน สภาพเศรษฐกิจ โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่กับเหตุการณ์กราดยิง หรือล่าสุดกับเหตุความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เราขอแสดงความเสียใจกับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ทุกฝ่าย ซึ่งการตอบโต้กันด้วยความรุนแรงทั้งในชีวิตจริงหรือบนโลกอินเทอร์เน็ตขณะนี้ นับว่าไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ควรถูกทำให้เป็นเรื่องปกติได้ และในช่วงที่ข้อมูลข่าวสารมีอยู่เต็มฟีด การรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารและมีสติไตร่ตรองเหตุการณ์และการแสดงความคิดเห็นก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่น้อย&nbsp;จริงอยู่ที่การติดตามข่าวสารบ้านเมืองไม่ขาดสาย และเป็นหูเป็นตาให้กับปัญหาสังคมในประเด็นต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้มันเกิดการแก้ไขได้จริง นับเป็นประโยชน์ และเป็นข้อดีที่อย่างน้อยๆ เราก็กระตือรือร้นที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ด้านชา หรือนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ร้ายๆ แต่บางครั้ง การรับข่าวหนักๆ มากเกินไป อาจทำให้เราเครียดตามจนบางคนจมดิ่งไปกับข่าวจนเกิดปัญหาสุขภาพ เช่นเดียวกันกับการปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำจิตใจ และพิมพ์คอมเมนต์ที่ขับเคลื่อนไปด้วยความเกลียดชัง ก็ยิ่งส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ เลวร้ายลงไปกว่าเดิมทุกอย่างจึงควรต้องมีบาลานซ์ บางครั้งการถอยห่างออกจากหน้าฟีดบ้างเมื่อ ‘รู้สึกว่าไม่ไหว’ ก็อาจจำเป็นเพราะจิตใจเราเองก็สำคัญ และต้องคอยประคับประคองมันไว้ไม่ให้พังเช่นกันซูซาน บับเบล (Susanne Babbel) นักจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูบาดแผลทางใจ อธิบายว่าสมองของเรายึดโยงกับการประมวลผลความเครียดที่เกี่ยวข้องกับบาดแผลทางใจโดยเข้าสู่โหมดต่อสู้ (fight) หนี (flight) และแช่แข็ง (freeze) ก่อนจะกลับสู่สภาวะสงบ แต่หากเราได้รับบาดแผลนั้นอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถขัดขวางความสามารถในการรับมืออย่างเฮลตี้ และขวางเส้นทางการกลับสู่สภาวะผ่อนคลายได้เหมือนกัน อนึ่ง เสพข่าวร้ายแรงติดกัน พอใจไม่ได้พัก ไม่มีเว้นช่วง การรับมือของเราก็อาจจะแย่ลงได้ “ทุกครั้งที่เรามีประสบการณ์ หรือได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจ เราจะเข้าสู่โหมดความเครียด เราอาจจะชาไปเลย หรือตอบสนองกับความกลัวที่รับเข้ามามากเกินไป โดยสรีรวิทยาของเราจะถูกทริกเกอร์เพื่อปลดปล่อยฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน ออกมา…เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเราประสบกับกระบวนการนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อมหมวกไตของเราจะอิดโรย นำไปสู่ความเหนื่อยล้าในเช้าวันใหม่ การนอนหลับไม่เพียงพอ ความวิตกกังวล ซึมเศร้า รวมถึงอาการอื่นๆ อีกมาก” บับเบลกล่าว ดังนั้น หนึ่งวิธีในการรับมือกับใจยมๆ เวลาข่าวสารพรั่งพรูเข้ามาให้เสพ คือการจำกัดลิมิตในการเปิดรับข่าวสารให้ตัวเอง และค้นหาความไหวที่เราสามารถเปิดรับมันอยู่ในระดับมากน้อยแค่ไหน บับเบลเสนอว่า “สิ่งสำคัญคือเราต้องให้ความสนใจกับตัวเองเมื่อเราแบกรับมากเกินไป เมื่อคุณเครียด คุณก็จะชา อารมณ์เสีย หงุดหงิด หรือรู้สึกถึงอาการภายนอกอื่นๆ ที่ตอบสนองกับระบบประสาท เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกว่าคุณกำลังจะพัง นั่นเป็นสัญญาญว่าคุณต้องหยุด” อาจจะดูพูดง่าย แต่ทำยาก เพราะแต่ละคนก็มีกระบวนการปรับตัว หรืออารมณ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องมีเวลาเสพข่าวคือ ‘สติ’ หากเราจมดิ่งไปกับมันมากๆ ตัวเราเองอาจจะแย่ไปด้วย และอาจเผลอทำพฤติกรรมไม่ดีทั้งกับตัวเอง และคนรอบข้าง ซึ่งนั่นก็อาจจะไปกันใหญ่ ทาเนีย เทย์เลอร์ (Tania Taylor) นักจิตบำบัด แนะนำว่าควรให้เวลากับตัวเองสักหน่อย และมันอาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการนอน “ถ้าเป็นไปได้ ก็นอนคิดทบทวนมันก่อน เมื่อเราหลับ ความทรงจำของเราในวันนั้นจะถูกประมวลผล และย้ายจากอารมณ์ของเราไปสู่ narrative mind ของเรา เราสามารถคิดเรื่องนี้ และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้นด้วยสมองมากกว่าปฏิกิริยาสู้หรือหนีของระบบลิมบิกที่ทำงานด้านอารมณ์” และมันอาจจะซ้ำซากไปสักหน่อย ถ้าเราบอกว่าลองหาอะไรทำคลายเครียดดู อาจจะช่วยได้บ้าง แต่มันก็ยังเป็นวิธีอย่างง่ายที่จะฮีลใจเราไม่มากก็น้อย ถึงมันจะบรรเทาได้แค่ชั่วขณะแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ฮีลอะไรเลย เอลิซาเบธ แฮนค็อก (Elizabeth Hancock) นักสังคมสงเคราะห์ แนะนำให้ทุกคนรับรู้ความรู้สึก และความคิดของตัวเอง พร้อมหาวิธีที่จะเข้าใจมัน แน่นอน ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับข่าวที่เรารับมา บางครั้งเราอาจจะไม่สามารถทำใจกับเรื่องนั้นได้หรอก แต่การแสดงความเจ็บปวดของเราผ่านการออกกำลังกาย การบำบัด งานศิลปะ ฯลฯ อาจจะสามารถทำให้เราสามารถโต้ตอบมันได้อย่างสร้างสรรค์ สิ่งที่อยากจะย้ำชัดที่สุดคือ หากช่วงนั้นคุณสภาพจิตใจไม่ดีเป็นทุนเดิม หรือกำลังมีอาการทางด้านจิตใจอยู่ เราแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการเสพข่าวนั้นๆ ไปก่อน ซึ่งบางคนอาจคิดว่า แล้วจะตามข่าวทันไหม ฉันไม่อยากเพิกเฉย บางครั้งการถามไถ่ข่าวจากเพื่อน หรือคนรอบตัว อาจจะเป็นการกรองข่าวที่ทำให้เรารับรู้มัน โดยที่ไม่ต้องไปจดจ่อ หรือดำดิ่งกับมันมากขึ้น เพราะจริงๆ การเปิดรับข่าวสะเทือนใจ ขณะที่ใจเราก็พังอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นตัวเร่งให้เราเกิดปัญหาทางสุขภาพได้นะ ยังไงเราก็ขอเป็นกำลังใจให้ใครที่กำลังรู้สึกแย่ ผ่านพ้นความรู้สึกนี้ไปได้โดยเร็ว อย่าลืมว่าปัญหาบ้านเมืองก็สำคัญ แต่จิตใจเราก็สำคัญไม่แพ้กัน หมั่นดูแลหัวใจอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะดีเหลือเกินหากเรายังมีหัวใจที่เป็นสุขอยู่บ้างแม้จะอยู่ในสภาพสังคมที่ไม่เอื้อให้เรามีความสุขได้ขนาดนั้นก็ตาม อ้างอิง: <a href="https://edition.cnn.com/2018/06/01/health/bad-news-bad-health/index.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://edition.cnn.com/2018/06/01/health/bad-news-bad-health/index.html</a> <a href="https://www.positive.news/society/media/how-to-cope-with-bad-news/" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.positive.news/society/media/how-to-cope-with-bad-news/</a> <a href="https://www.slownorth.com/blogs/journal/6-mindful-ways-for-processing-bad-news" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.slownorth.com/blogs/journal/6-mindful-ways-for-processing-bad-news</a> &nbsp;

หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็อาจส่งผลให้ความขัดแย้งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้น จึงอยากชวนมารู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการสื่อสารอย่างสันติ เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คำพูดทำร้ายกันและกัน

บอกความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง แทนการกล่าวโทษ ตำหนิ หรือโจมตีอีกฝ่าย ชวนรู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ เพื่อลดความขัดแย้งในความสัมพันธ์

ทางเลือกอย่างถุงยางอนามัยและการทำหมัน ยังคงเป็นทางเลือกในการคุมกำเนิดของผู้ชายที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน แต่ล่าสุดยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายชนิดเม็ดแบบไร้ฮอร์โมน ชื่อ YCT-529 ซึ่งผ่านการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย อาจกลายเป็นความหวังที่เข้าใกล้การคุมกำเนิดผู้ชายและช่วยให้เราสามารถวางแผนครอบครัวได้ดีขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป 

YCT-529 ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย
ผ่านการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย และอาจเป็นความหวังใหม่ของการคุมกำเนิดอย่างเท่าเทียมในอนาคต  



ต้องยอมรับว่าแชตบอทอย่างเช่น ChatGPT เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับคนยุคนี้ ตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างค้นหาไอเดีย ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น ตอบคำถามเรื่องที่ไม่รู้ ฝึกสกิลบางอย่าง จนถึงจัดการ จัดระเบียบเรื่องต่างๆ ในชีวิตเราให้เข้าที่เข้าทาง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่อนุญาตให้แชตบอททำหน้าที่มากกว่าการเป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันทั่วไป เมื่อพวกเขาใช้มันเป็นเหมือน ‘ที่พึ่งทางใจ’ ในเวลาต้องการคำปรึกษาเรื่องลึกๆ ลงไปกว่านั้นอย่างเรื่องของจิตใจ ประหนึ่งเป็น ‘เทอราพิสต์’ ส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS