เวลาที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์ใดความสัมพันธ์หนึ่ง คนเรามักจะ ‘โฟกัส’ ไปที่อีกฝ่ายมากกว่า ไม่ว่าจะการกระทำของเขา ความรู้สึกของเขา เขาจะคิดอย่างไร เขาจะรู้สึกอย่างไร จนบ่อยครั้งความสัมพันธ์ที่เราโฟกัสคนอื่นมากกว่านี้เองที่อาจทำให้เราหลงลืม ‘ตัวเอง’ ไป

ชวนสำรวจ ความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนอื่น 
ว่ามันสะท้อน ‘ความสัมพันธ์ที่เรามีกับตัวเอง’ อย่างไรบ้าง 

เป็นธรรมดาเวลาที่กำลังอยู่ในความสัมพันธ์ใดความสัมพันธ์หนึ่ง คนเรามักจะ ‘โฟกัส’ ไปที่อีกฝ่ายมากกว่า ไม่ว่าจะการกระทำของเขา ความรู้สึกของเขา เขาจะคิดอย่างไร เขาจะรู้สึกอย่างไร จนบ่อยครั้งความสัมพันธ์ที่เราโฟกัสคนอื่นมากกว่านี้เองที่อาจทำให้เราหลงลืม ‘ตัวเอง’ ไปว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไร เรารู้สึกอย่างไร หรือแม้กระทั่งหลงลืมไปว่าตัวเรากำลัง ‘เป็นใคร’ และกำลังทำอะไรอยู่แต่ในทุกๆ ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนอื่น จริงๆ แล้วมันก็คือกระจกที่สะท้อนตัวตนข้างในของเราดีๆ นี่เองในมุมที่ซ่อนเร้น ที่เราอาจไม่เคยมองเห็น หรือไม่เคยครุ่นคิดถึงมันมาก่อน&nbsp;เช่นเดียวกับที่นักจิตวิทยา Sanam Naran เจ้าของแอคเคานต์อินสตาแกรมชื่อ The Conscious Psychologist ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจเรื่องนี้ว่า ‘A Relationship Will Show You Where You don’t Love Yourself’ คือการที่ความสัมพันธ์ใดๆ ที่เราแต่ละคนมีนั้นสามารถสะท้อนตัวตนข้างในของเราอย่างลึกซึ้งได้อย่างไรบ้าง ทั้งประสบการณ์ในวัยเด็ก การเติบโต อิทธิพลจากครอบครัว รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเราในวันนี้ ซึ่งการที่เรากลับไปสำรวจองค์ประกอบเหล่านั้นบ้างขณะอยู่ในความสัมพันธ์ ก็อาจทำให้เราค้นพบเหตุปัจจัยว่าเพราะเหตุใดเราถึงมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนั้นๆ อยู่ เพราะบางครั้งความสัมพันธ์ที่เรากำลังมีอยู่กับคนอื่นๆ นี้กำลังทำให้เราหลงลืมที่จะ ‘รักตัวเอง’ ไปด้วยเหมือนกัน&nbsp;ตรงไหนในความสัมพันธ์ที่สามารถสะท้อนความสัมพันธ์ที่เรามีกับตัวเองในปัจจุบันได้บ้าง ชวนไปสำรวจกัน1. เมื่อเราพบว่าตัวเองกำลังพยายามคอนโทรลทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าง่ายๆ คือพยายามทำตัวเหมือน ‘แม่’ ในความสัมพันธ์ รับบทแม่ของอีกฝ่ายที่พยายามโอบอุ้ม รับผิดชอบ เทคแคร์ดูเเลทุกอย่าง อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากความกดดันจากชีวิตที่ผลักให้เราจำเป็นต้องรับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบเรื่องอะไรสักอย่างในวันที่เราอาจยังไม่พร้อมหรือยังไม่เต็มใจสักเท่าไร เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ เราจึงพยายามจัดการ โอบอุ้ม ดูแล จนถึงกับพยายามควบคุม เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย เป็นไปตามแบบที่เราต้องการ ซึ่งมันอาจทำให้เราต้องเหนื่อยล้าและเสียสละตัวเองจากการต้องรับบท ‘เดอะแบก’ ผู้แบกทุกคนในความสัมพันธ์ไปตลอดกาล2. การที่เราเจอปัญหาในความสัมพันธ์ และวิธีที่เราเลือกว่าจะจัดการกับมันอย่างไร จะหลบหนี หลีกเลี่ยง เลือกจะสู้ เผชิญหน้า หรือเลือกจะเงียบไปซะเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะตามมา วิธีที่เราเลือกรับมือเวลาเผชิญกับปัญหาเหล่านี้นี่เองที่มันอาจสะท้อนประสบการณ์ว่าพ่อแม่ หรือครอบครัวของที่เราเติบโตมาด้วยนั้นมีวิธีรับมือกับปัญหาอย่างไร และบ่อยครั้งที่วิธีการรับมือกับปัญหาของผู้ใหญ่เหล่านั้นเองที่หล่อหลอมเรามาจนถึงวันนี้โดยไม่รู้ตัว3. หลายครั้งที่เราอาจไม่ได้สังเกตว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายในความสัมพันธ์ มีผลกระทบต่อเราอย่างไรบ้าง แต่สิ่งนี้เองที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเราได้รับความรักและการยอมรับมากน้อยแค่ไหน และอย่างไรตอนเป็นเด็ก เช่น อารมณ์ด้านลบหรือการถูกปฏิเสธแม้เพียงนิดเดียวก็ทำเอาเรารู้สึกเจ็บปวด อ่อนไหว หรือทำให้สูญเสียความมั่นใจได้มากมาย ก็อาจเป็นไปได้ว่าเราคาดหวังการได้รับความรัก และเเสวงหาการยอมรับจากความสัมพันธ์นี้มากอย่างไร เพื่อทดแทนความรักและการยอมรับที่เราอาจไม่เคยได้รับมากพอ &nbsp;4. พลวัตร หรือสิ่งที่เรากำลัง ‘เป็น’ ในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะการเผลอทำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัว ความชอบโอบอุ้ม การทำตัวเหมือนแม่ หรือการเป็นผู้วิ่งไล่ตามอีกฝ่าย อาจบอกได้ว่าความต้องการใดๆ ของเราในวัยเด็กอาจไม่ได้ถูกเติมเต็ม แต่ถูกกักเก็บไว้ในตัวเรามาตลอด และมันก็สะท้อนออกมาในสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ในความสัมพันธ์นั้นๆ นั่นเอง5. เช่นเดียวกับความต้องการที่อยากจะ ‘Commit’ อยากผูกมัด อยากได้รับการยืนยันความมั่นใจ ความรู้สึกมั่นคง ความรู้สึกปลอดภัยในความสัมพันธ์ ที่สามารถสะท้อนได้ถึงความไม่มั่นคงทางอารมณ์ที่พ่อแม่หรือคนในครอบครัวมีต่อเราในวัยเด็กได้เหมือนกัน&nbsp;6. ลองทบทวนว่าเราเคยได้รับอนุญาตให้ ‘พูด’ หรือบอกความต้องการของตัวเองมากน้อยแค่ไหนตอนเป็นเด็กๆ เพราะสิ่งนี้สามารถส่งผลถึงพฤติกรรมอย่างการที่เราเลือกจะ ‘เงียบ’ เมื่อเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งในความสัมพันธ์ เพื่อรักษาความสัมพันธ์นั้นเอาไว้ และบางครั้งก็เพื่อให้ได้รับความรักกับการยอมรับจากอีกฝ่ายโดยไม่ปริปากบอกสิ่งที่ตัวเองรู้สึกและต้องการอย่างแท้จริง &nbsp;7. สังเกตดูว่าเราทำตัวเป็นผู้ Take Action ด้วยการ ‘รับไว้’ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์หรือเปล่า ไม่ว่าเรื่องนั้นเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราโอเคกับมันหรือไม่ การเป็นผู้รับไว้ทุกอย่างแบบนี้อาจสะท้อนสิ่งที่พ่อแม่หรือครอบครัวเคย React ต่อการทำผิดพลาดของเราตอนเด็กๆ มาก่อน ทำให้เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ไม่กล้าวางระยะของตัวเองกับเรื่องต่างๆ เพราะคิดว่าเราต้องทำหน้าที่เป็นผู้แบกความรับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เรื่องเฮลธ์ตี้เอาซะเลย&nbsp;8. ลองย้อนกลับไปสังเกตว่าความรู้สึกด้านลบที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในตอนที่เราเป็นเด็กและคิดว่าถ้าโตขึ้นเราคงทนเรื่องนั้นๆ ได้คืออะไร หากความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า แต่ก็ทนได้มาตลอด ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าเราอาจจะทำให้เจอความสัมพันธ์ที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา หรือร้ายกว่านั้นคือความสัมพันธ์ที่เราถูกเอาเปรียบ และมันสามารถชี้นิ้วโทษอีกฝ่ายอย่างเดียวไม่ได้ด้วยเหมือนกัน เพราะสุดท้าย อาจเป็นตัวเราเองนี่แหละที่ ‘หลงลืม’ รักตัวเองไปอ้างอิง&nbsp;<a href="https://www.instagram.com/p/C_0k223Mczy/?img_index=1" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.instagram.com/p/C_0k223Mczy/?img_index=1</a>

‘การไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง’ หรือ Indecisiveness ที่หลายคนอาจเผชิญอยู่ เพราะรู้สึกไม่หนักแน่นพอกับใจตัวเอง หรือไม่เชื่อว่าตัวเองจะเลือกเส้นทางนั้นอย่างถูกต้องที่สุด จึงทำให้วันนี้มานั่งนึกย้อนว่า ถ้าวันนั้นตัดสินใจอีกแบบ…อาจจะดีกว่านี้

ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะกลัวผิดพลาด แต่ถ้าไม่ลอง เราก็อาจพลาดบางอย่างไปเช่นกัน ชวนฝึกเชื่อมั่นในเสียงของตัวเอง ที่แม้จะไม่รู้ปลายทาง แต่เราจะไม่นึกเสียดายที่ได้ลงมือทำ

คุณสมบัติของคนที่มีอารมณ์ขันในตัวเองโดยธรรมชาติจนทำให้คนรอบข้างยิ้มออกได้ในหลายสถานการณ์แม้วันนั้นฝ่ายตรงข้ามจะกำลังเครียดอยู่ก็ตาม นั่นถือเป็นสกิลชั้นดีที่ช่วยประคองแทบจะทุกความสัมพันธ์

คนที่ตลกขนาดนี้…เป็นของคุณนะ! การประคองความรักด้วย ‘Sense of Humor’ เมื่ออารมณ์ขันที่เข้าขา คือยาชั้นดีในความสัมพันธ์

ในเดือนฮัลโลวีนแบบนี้ การดูหนังผีหรือหนังประเภทสยองขวัญให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาลก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมท่ีน่าสนใจเหมือนกัน แต่การจะเปิดดูสิ่งที่เรียกว่าหนังผีหรือหนังสยองขวัญสักเรื่องสำหรับคนที่กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วนั้นก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ไม่ว่าจะเลือกไปดูในโรง หรือดูอยู่ที่บ้านก็ต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งพอสมควร และหลายครั้งความหลอนในหนังก็อาจทำเรากลัวเกินกว่าจะต้านทานคนเดียวไหว ฮัลโลวีนปีนี้เราอ่านเจอทิปส์น่าสนใจจาก New York Times ที่จะช่วยให้นักดูหนังผี (แต่ก็กลัวผี) สู้กลับความหลอนนั้นได้ เพื่อให้การดูหนังผีไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป และไม่แน่นะ อาจค้นพบว่าหนังผีหรือหนังสยองขวัญนี่แหละคือทางที่ใช่สำหรับเราก็ได้! 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

ชวนสำรวจ ความสัมพันธ์ที่เรามีกับคนอื่น ว่ามันสะท้อน ‘ความสัมพันธ์ที่เรามีกับตัวเอง’ อย่างไรบ้าง

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS