ชวนรู้จัก Opposite Attract หรือการที่คนขั้วตรงข้ามรู้สึกดึงดูดซึ่งกันและกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเคมีของหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ที่มากับภาพลักษณ์สุดเป็นมิตร และขี้อ้อน กับ แมวดำที่ดูเงียบๆ นิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยความน่าค้นหา ถึงลงตัวสุดๆ!

คนหนึ่งเหมือนหมาโกลเด้นฯ อีกคนเหมือนแมวดำ หนึ่งในความสัมพันธ์แบบ ‘Opposite Attract’ ที่ความต่างขั้วมาช่วยเต็มเติมกันและกันให้กลมกล่อม 

หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ที่มากับภาพลักษณ์สุดเป็นมิตร ร่าเริงตลอดเวลา และบางทีก็ขี้อ้อน กับ&nbsp;แมวดำที่ดูเงียบๆ นิ่งๆ แต่แฝงไปด้วยความน่าค้นหา ถือเป็นสองคาแรกเตอร์สัตว์เลี้ยงอันคุ้นเคย ที่พักหลังๆ มานี้ มักถูกหยิบมาใช้อธิบายคาแรกเตอร์ของคน โดยเฉพาะกับคู่รักที่มีคาแรกเตอร์ต่างกันสุดขั้ว คนนึงเป็นไทป์หมา‘เด้น คนนึงเป็นไทป์แมวดำ หรือที่ป๊อปพอสมควรในอินเทอร์เน็ตตอนนี้คือกรณีคู่รักที่อายุต่างกัน แล้วฝ่ายแฟนเด็กมีนิสัยอ้อนๆ ตายิ้ม ส่วนอีกฝ่ายที่โตกว่า นิ่งกว่า ก็มักถูกเรียกเป็นคู่รักแบบ ม๋าเด็กกับพี่คนสวย ที่ถูกพูดถึงบนโซเชียลฯ บ่อยๆ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมแฟนด้อมซึ่งคาแรกเตอร์ที่ต่างกันในความสัมพันธ์ พอมาอยู่ด้วยกันแล้วเป็นส่วนผสมที่ลงตัวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ&nbsp;‘Opposite Attract’ หรือการที่คนขั้วตรงข้ามรู้สึกดึงดูดซึ่งกันและกัน ทำให้คำกล่าวที่บางคนยึดมั่นไว้ว่า ต้องหาแฟนที่มีนิสัย หรือไลฟ์สไตล์เหมือนกับตัวเองเท่านั้นถึงจะทำให้ความสัมพันธ์ไปกันรอด จึงอาจใช้ได้กับบางคน และไม่เป็นแบบนั้นเสมอไปกับบางคน เพราะคู่รักที่มีนิสัยต่างกัน ก็จับมือพาความสัมพันธ์ครั้งนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยต่อใจได้เช่นกัน และมีความสุขกับความต่างครั้งนี้มากๆ ได้เหมือนกันเพราะบางคนมองหาส่วนเติมเต็มในชีวิต และส่วนที่ขาดหายไปนั้น อาจเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะใช่ แต่ก็ใช่เสียเหลือเกิน ลอเรน คอร์ชัค (Lauren Korshak) ผู้เป็นนักบำบัด กล่าวกับ Mindbodygreen ว่า “ผู้คนมักถูกดึงดูดจากคุณสมบัติที่เราขาดหายไป หรือสิ่งที่ไม่ค่อยโดดเด่นในตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นอีกคนที่มีตัวตนแบบที่ว่านั่น” เช่น บางคนเป็นคนวิตกกังวลได้ง่าย อาจรู้สึกประทับใจในตัวของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ และทำให้เกิดความสมดุลในความสัมพันธ์มากขึ้น คอร์ชัคเสริมว่า “หากฝ่ายนึงเป็นคนมีระเบียบ ละเอียดอ่อน ชอบวางแพลนในแต่ละวัน เช่น เรื่องการเงิน และอีกฝ่าย เป็นคนมีหัวสร้างสรรค์ ที่มักนำเสนอไอเดียต่างๆ ออกมาเป็นปกติ พวกเขาทั้งสองก็สามารถช่วยกันสร้างชีวิตที่บาลานซ์มากขึ้นกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ได้” พูดง่ายๆ ว่าอยู่ด้วยกัน ก็นำพาให้ปังมากขึ้นนั่นเองนอกจากนี้การออกเดตกับคนขั้วตรงข้าม ก็เหมือนการที่เราได้เปิดโลกกว้างบางอย่าง ที่เราอาจไม่เคยสำรวจมาก่อน เห็นมาก่อน &nbsp;หรือคุณอาจไม่เคยคิดถึงมุมมองบางอย่าง แต่คุณก็เริ่มเก็บมาคิด และเข้าใจมากขึ้นเมื่อคบกับเขา เหมือนที่ อมิรา มาร์ติน (Amira Martin) นักบำบัดกล่าวไว้ว่า “หากคุณเป็นคนที่อาจจะเข้ากับคนยากหน่อย การได้เดตกับใครสักคนที่เข้ากับคนง่าย อาจช่วยให้คุณได้ออกไปสู่โลกกว้าง ไปพบประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ได้ ขณะเดียวกัน หากคุณเป็นคนนิสัยแบบนักวิเคราะห์มากๆ และใช้เหตุผลอยู่เสมอ การเดตกับใครสักคนที่เขามีความคิดสร้างสรรค์ และใช้สัญชาตญาณ อาจช่วยให้คุณเข้าถึงด้านอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นก็ได้” เพราะการทำความเข้าใจความรู้สึกของกันและกันก็นับเป็นสิ่งสำคัญในความสัมพันธ์ และ “หากคุณเคยคิดไปเองว่า คนที่ต่างกับคุณมากๆ ไม่มีทางจะมาเข้าใจ หรือ appreciate อะไรในตัวคุณหรอก การได้เดตกับคนที่แตกต่างนี้ก็จะโชว์ให้เห็นว่า มันไม่จริงเสมอไปนะ”ถึงอย่างนั้น ใช่ว่าทุกคู่ที่มีนิสัยแตกต่างกันมากๆ จะไปด้วยกันรอด บางครั้งก็ไปไม่รอดเหมือนกัน เพราะต่างกันมากไป ซึ่งก็คงเหมือนกับคนที่นิสัยเหมือนกัน ที่ก็มีคู่ที่ไปไม่รอดเพราะเหมือนกันมากไป สิ่งสำคัญที่จะช่วยพยุงความสัมพันธ์นั้นได้ นั่นคือการเปิดอก และทำความเข้าใจกัน พูดคุยถึงปัญหา และมีความสัมพันธ์ที่อยู่ภายใต้การให้เกียรติซึ่งกันและกันจิน ลัลลี (Gin Lalli) นักจิตบำบัด เธอกล่าวถึงแง่มุมนี้กับ MailOnline ไว้ว่า “มุมมองที่เราไม่ต้องการใครสักคนที่เหมือนกับเรานั้นมาพร้อมกับการมีวุฒิภาวะด้วย เมื่อเรารู้สึกสบายใจกับตัวตนของเรา และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เราจะไม่รู้สึกแย่กับความแตกต่างที่เข้ามา และสามารถรักษาความเป็นตัวเองนี้ไว้ได้อย่างดี ขณะที่ก็สามารถอยู่กับคนรักที่แตกต่างจากเราได้”“ฉันคิดว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะแตกต่างกันหรือเหมือนกันกับแฟน เพราะสิ่งที่คุณควรใช้นำทางความสัมพันธ์ครั้งนี้ไปให้ได้มากกว่าคือสิ่งที่ได้จากการแชร์คุณค่าของกันและกัน เคารพซึ่งกันและกัน และมองเห็นภาพในอนาคต และมุ่งมั่นที่จะไปต่อไม่ว่าจะเจอความท้าทายอะไรร่วมกันต่างหาก” ลัลลีกล่าวแน่นอนว่าความแตกต่างของคู่รัก มีความท้าทายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะนั่นอาจทำให้หลายคู่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันในบางครั้ง แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างได้ใช้เวลาในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เอาใจเขา มาใส่เรา ก็จะก้าวผ่านความขัดแย้งนั้นไปได้ เช่นเดียวกับคู่รักที่ต่างฝ่ายต่างเหมือนกันมากๆ บางที ก็อาจมีเรื่องให้กระทบกระทั่งกันได้เหมือนกัน และก็ต้องแก้ไขปัญหานั้นด้วยความเข้าใจเช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะคบกับคนที่ต่างหรือเหมือนกับเรา ก็ไม่อาจการันตีได้ว่า คบคนแบบไหนจะมีความสุขมาก หรือสุขน้อยกว่ากัน ของแบบนี้ มันต้องอาศัยเวลาและการปรับตัวกันทั้งนั้นอ้างอิง:<a href="https://www.mindbodygreen.com/articles/do-opposites-really-attract" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.mindbodygreen.com/articles/do-opposites-really-attract</a><a href="https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-12068497/Opposites-really-attract-Couples-clashing-personalities-no-likely-last.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-12068497/Opposites-really-attract-Couples-clashing-personalities-no-likely-last.html</a>

หายใจลึกๆ แล้วดึงสติ! กับ Aromatherapy 
กลิ่นหอมสมุนไพรที่ช่วยให้ร่างกายกลับมาอยู่จุดศูนย์กลางอีกครั้ง

‘อายุ’ ไม่ใช่ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด แต่ ‘ศักยภาพ’ ต่างหากที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งศักยภาพนั้นเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ หากเรามีมุมมองการใช้ชีวิตแบบ ‘Growth Mindset’ แนวคิดของนักจิตวิทยา ‘Carol Dweck’ ที่เชื่อว่า ความสามารถของคนเราเติบโตขึ้นได้ผ่านเวลาและความพยายาม

คนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร 3 วิธีปรับมุมมองการใช้ชีวิต เลิกยึดติดกับความผิดพลาด ด้วยแนวคิดทางจิตวิทยา ‘Growth Mindset’

ซีรีส์เรื่อง ‘When Life Gives You Tangerines ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน’ นำเสนอประเด็น ‘การพูดจาไม่ดีกับครอบครัว’ นับเป็นแง่มุมที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เพราะคนเรามักเผลอพูดจาร้ายๆ กับคนใกล้ตัวมากกว่าคนไกลตัว ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎี ‘Displacement’ ของ ‘Sigmund Freud’

“เราปฏิบัติกับคนอื่นเช่นเดียวกับการเขียนจดหมายรัก แต่กับผู้มีพระคุณกลับปฏิบัติราวกับเขียนบนเศษกระดาษ” Displacement ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ว่าด้วย ทำไมคนเราจึงมักพูดไม่ดีกับคนใกล้ตัว?

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS