เทศกาลแห่งความรักอย่างวันวาเลนไทน์ อาจทำพิษได้กับทั้งคนโสดและคนมีคู่ เมื่อคนมีแฟนอาจคาดหวังและกดดันจนเกินไป ทางด้านคนโสดก็ต้องเผชิญความเหงาเป็นพิเศษ

นักจิตวิทยาคอนเฟิร์มว่า ‘ปัญหาสุขภาพจิต’ จะเกิดขึ้นกับหลายๆ คนในช่วงวันวาเลนไทน์ ไม่ว่าคุณจะโสดหรือไม่โสด 

เชื่อว่าหลายคนคงมีแพลนที่คิดกันไว้คร่าวๆ ว่าจะทำอะไรบ้างในเดือนแห่งความรักแบบนี้ คนมีคู่บางคู่อาจจะออกไปเดตกัน ใช้เวลาด้วยกัน ซื้อของขวัญให้กัน หรือตั้งใจทำเซอร์ไพรส์บางอย่างให้ไอ้ต้าวคุณแฟน ส่วนคนโสด บางคนอาจจะมอบความรักให้กับตัวเอง ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตัวเองมีความสุข หรืออยู่กับคนรอบข้างที่รัก ไม่ว่าจะเพื่อน หรือครอบครัว เพราะว่าความรักมันไม่ได้จำกัดไว้แค่สำหรับความสัมพันธ์โรแมนติกเท่านั้นอยู่แล้ว&nbsp;แม้ว่าช่วงวาเลนไทน์จะมีไว้เพื่อฉลองให้กับความรัก และเป็นห้วงเวลาที่หลายคนมีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคนรัก แต่ในบางคน หรือบางคู่ วันวาเลนไทน์กลับไม่ได้หอมหวาน แต่เต็มไปด้วย ‘ความกดดัน’ ที่เกิดขึ้น ทั้งการที่คนมีคู่บางคนกดดันที่ต้องวางแผนให้วาเลนไทน์ปีนี้เป็นปีที่พิเศษที่สุดจนเกิดเป็นความทุกข์ เพราะกลัวแฟนจะไม่ประทับใจ คนมีคู่บางคนเมื่อมีวาเลนไทน์ที่ผิดไปจากที่ตัวเองคาดหวัง ก็เริ่มน้อยใจว่าทำไมถึงไม่มีความสุขเหมือนคนอื่นเขา จนถึงคนโสดบางคนที่เหงา และอยากมีแฟน จนรักที่มีให้ตัวเองเริ่มลดลง นั่นทำให้นักจิตวิทยาคอนเฟิร์มเลยว่า ไม่ว่าจะโสดหรือไม่โสด แต่ปัญหา ‘สุขภาพจิต’ จะเกิดขึ้นกับหลายๆ คนในช่วงวันวาเลนไทน์แน่นอนเมเฮซาบิน ดอร์ดี (Mehezabin Dordi) นักจิตวิทยาคลินิก อธิบายความกดดันจากความคาดหวังในวันวาเลนไทน์ไว้ว่า บางคนเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนเป็นหนังโรแมนติกสักเรื่อง และรู้สึกตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสื่อบนโซเชียลมีเดีย&nbsp;“จากประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา มีโฆษณามากมายในช่วงวันวาเลนไทน์ที่มุ่งทาร์เก็ตไปที่ผู้ชาย นักการตลาดวาดภาพให้ผู้ชายออกไปซื้อของขวัญสวยหรูให้แฟนสาวอยู่เสมอ อะไรแบบนี้มันทำให้เกิดอารมณ์ความเครียดในผู้ชาย ขณะที่ผู้หญิงเองก็ถูกมองไปว่าพวกเธอแทบจะไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบถ้าไม่มีแฟน”กรอบทางเพศบางอย่างนี้ ทำให้ผู้ชายหลายคนที่รู้สึกว่าตัวเองต้องเป็น ‘ผู้นำ’ ในความสัมพันธ์รู้สึกกดดัน เพราะกลัวทำให้แฟนรู้สึกไม่ดี กลัวแฟนผิดหวัง มากเกินความจำเป็น อีกทั้งยังรวมไปถึงความกลัวว่าจะดูเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง ซึ่งนับว่านี่เป็นชุดความคิดที่กดทับผู้ชายอยู่ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุกความสัมพันธ์ไม่ควรมีใครเหนือกว่าใคร หรือใครพยายามมากกว่าใคร ขณะเดียวกันในบางคู่ที่ไม่ได้ยึดติดกันว่าผู้ชายต้องเป็นฝ่ายทำเซอร์ไพรส์ให้แฟนสาว ฝ่ายผู้หญิงเอง หรือคู่รักเพศอะไรก็แล้วแต่ ก็รู้สึกอยากจะทุ่มเทความรักให้กับแฟนและทำเซอร์ไพรส์เหมือนกัน แต่ก็ยังมีความรู้สึกกดดัน เพราะกลัวอีกฝ่ายไม่แฮปปี้ หรือกลัวอีกฝ่ายมองว่าไม่รัก จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งในบางคนที่รู้สึกฝืนที่จะทำบางอย่าง ที่อาจจะเป็นอะไรที่เล่นใหญ่เกินตัว ก็ยิ่งรู้สึกว่าวาเลนไทน์ครั้งนี้มันดูดพลังเสียเหลือเกิน และอาจนำไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกับในบางคู่เองที่อาจจะตกลงกับแฟนว่า อยากให้มองวาเลนไทน์เป็นวันหนึ่งที่มอบความรักให้แก่กัน แต่ไม่ใช่วันที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ ก็อาจจะไม่ได้มีความกดดันเสียเท่าไรนัก แต่สำหรับบางคู่ที่แม้จะตกลงกันแล้ว แต่อีกฝ่ายยังรู้สึกน้อยใจอยู่ดี ที่ไม่ได้มีวาเลนไทน์ที่พิเศษขึ้นมาเหมือนใครเขา นั่นก็อาจจะทำให้วันนั้นเป็นวันที่รู้สึกแย่กว่าทุกวันก็ได้ ซึ่งปัญหานี้แก้ได้ง่ายๆ ด้วยการสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องฝืนเก็บความต้องการของตัวเองไว้คนเดียว เพราะกลัวแฟนหาว่างี่เง่า เพราะสุดท้ายถ้าบอกความต้องการของตัวเองไปอย่างจริงใจ และปรับแก้ไขกันไม่ได้ การเดินจากกันไปอย่างพยายามในความสัมพันธ์ที่สุดแล้ว ก็อาจเสียใจน้อยกว่าการจบกันทั้งที่ยังไม่ได้ลองปรับเข้าหากันเลย“คุณอาจจะเห็นความสัมพันธ์ในอุดมคติมากมาย ทั้งในทีวี หรือโซเชียลมีเดีย สิ่งนี้อาจจะเป็นเรื่องยากๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณ หากมันทำให้คุณรู้สึกว่าตัวคุณเอง หรือความสัมพันธ์ของคุณเองไม่ดีพอ หรือแม้แต่การเป็นคนโสด ถ้าปล่อยความรู้สึกแบบนี้ทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรงขึ้นได้” เมเฮซาบิน ดอร์ดี กล่าว เธอยังบอกอีกว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นโสด วันนั้นอาจเพิ่มความรู้สึกกังวล เหงา และอาจทำให้คุณมาโบยตีตัวเอง และสรุปอย่างผิดๆ ว่าเพราะคุณบกพร่อง เพราะคุณไม่น่ารัก”&nbsp;การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับภาพชีวิตของคนอื่นจึงส่งผลร้าย และบดบังคุณค่าในตัวเองของคุณไปอย่างน่าเศร้า เพราะแม้คุณจะโสด ก็ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนที่บกพร่อง หรือไม่สมควรถูกรัก เพียงแต่คุณยังไม่เจอคนที่ใช่ก็เท่านั้น และสิ่งสำคัญที่สุดมากกว่าความรักที่ได้รับจากคนอื่น คือการรักตัวเอง ที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด เช่นเดียวกับคนมีแฟนที่เอาแฟนตัวเองไปเปรียบเทียบกับแฟนคนอื่น ว่าทำไมเธอไม่เป็นเหมือนคนนั้น คนนี้ เหตุการณ์แบบนี้ก็เป็นอะไรที่บั่นทอนจิตใจตัวคุณแฟนเข้าเต็มๆ เพราะหากเขาเป็นคนที่ดี และมอบความรักให้คุณสม่ำเสมออยู่แล้ว วันวาเลนไทน์วันเดียว จึงไม่ควรเป็นวันตัดสินทั้งหมดในความสัมพันธ์ เราจึงอยากชวนให้สำรวจความรู้สึกตัวเองที่มีต่อเขาให้มากๆ ว่าภาพรวมความสัมพันธ์ ณ ตอนนั้นมันดีอยู่แล้ว หรือว่ามันไม่ดี เพราะเขาไม่ใช่คนที่ใส่ใจคุณ หรือพร้อมเทกแคร์คุณอยู่แล้วในวันอื่นๆ ที่ผ่านมา จนทำให้คุณยิ่งคิดมากมากขึ้นในวันวาเลนไทน์&nbsp;คงต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ตอนนี้มันท็อกซิกแค่ไหน ถ้ามันแย่จนทำให้คุณเจ็บ วันวาเลนไทน์วันเดียวก็อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื้อรังที่คุณเผชิญอยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่ถ้าความสัมพันธ์มันดีอยู่แล้ว การไม่เปรียบเทียบคนรักของเรากับใคร จะทำให้สุขภาพจิตของทั้งคุณและอีกฝ่ายไม่แย่ลง เช่นเดียวกับที่ ดร.เอริค จอห์นสัน (Eric Johnson) นักบำบัดครอบครัวและคู่แต่งงาน กล่าวว่า “วันแบบนี้อาจทำให้แย่ลงได้ เพราะคุณมีอารมณ์แย่ๆ ความทรงจำแย่ๆ ความคิดแย่ๆ ปะปนกันอยู่ แล้วพอคุณมองไปรอบๆ คุณก็อาจจะแบบ ‘เฮ้ ดูคนเหล่านี้สิ พวกเขากำลังทำสิ่งที่ถูกอยู่’” ซึ่งเราไม่ควรตัดสินว่าอะไรถูก หรือผิดในวันวาเลนไทน์ เพราะความสัมพันธ์ของเรา เราออกแบบให้เข้ากับเราได้ โดยไม่จำเป็นต้องทำตามอย่างที่คู่อื่นทำ ก็สามารถมีความสุขได้มากเหมือนกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าวาเลนไทน์ควรจะพิเศษอย่างไร แต่อีกฝ่ายไม่รับรู้ความต้องการของคุณแน่ชัด การพูดคุยกันตรงๆ ก็อาจช่วยแก้ปัญหาให้ดีขึ้นได้ หรือถ้าความคิดไม่ตรงกันจริงๆ ก็จะสามารถทำให้คุณเก็บมาทบทวนความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อไปอ้างอิง<a href="https://www.hindustantimes.com/lifestyle/health/is-valentine-s-day-bad-for-your-mental-health-here-s-what-a-psychologist-says-101676278308390.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.hindustantimes.com/lifestyle/health/is-valentine-s-day-bad-for-your-mental-health-here-s-what-a-psychologist-says-101676278308390.html</a> &nbsp;<a href="https://www.5newsonline.com/article/news/health/the-science-of-love-valentines-day-advice/527-e33d384e-6b48-43d3-90b9-159deed2373f" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.5newsonline.com/article/news/health/the-science-of-love-valentines-day-advice/527-e33d384e-6b48-43d3-90b9-159deed2373f</a> &nbsp;



ต้องยอมรับว่าแชตบอทอย่างเช่น ChatGPT เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับคนยุคนี้ ตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างค้นหาไอเดีย ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น ตอบคำถามเรื่องที่ไม่รู้ ฝึกสกิลบางอย่าง จนถึงจัดการ จัดระเบียบเรื่องต่างๆ ในชีวิตเราให้เข้าที่เข้าทาง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่อนุญาตให้แชตบอททำหน้าที่มากกว่าการเป็นผู้ช่วยในชีวิตประจำวันทั่วไป เมื่อพวกเขาใช้มันเป็นเหมือน ‘ที่พึ่งทางใจ’ ในเวลาต้องการคำปรึกษาเรื่องลึกๆ ลงไปกว่านั้นอย่างเรื่องของจิตใจ ประหนึ่งเป็น ‘เทอราพิสต์’ ส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น 

Therapist vs ChatGPT แง่มุมทั้งดีและร้ายของการที่คนยุคนี้เลือกแชตบอท AI เป็นที่พึ่งทางใจ แทนการไปหาเทอราพิสต์ 

ต้องยอมรับว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักหน่วงขึ้นจากความไม่แน่นอนของโลกทุกวันนี้ส่งผลกระทบทั่วถึงแทบจะทุกๆ ด้านของชีวิตเรา ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องการกินการอยู่ การทำมาหากิน หรือเรื่องปากท้อง เพราะหนึ่งในนั้นยังรวมถึงเรื่อง ‘ความรักความสัมพันธ์’ ของคนยุคนี้ที่ได้รับผลพวงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ค่าครองชีพยิ่งสูง การเดตก็ยิ่งยาก คนรุ่นใหม่เลยขอเดตแบบ ‘ครีเอทีฟ’ ขึ้น แกลมน้อยลง เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง 
และชีวิตรักโรแมนติกไปพร้อมๆ กัน 

‘Floodlighting’ ที่เป็นคนละขั้วกับ Love Bombing ตรงที่ครั้งนี้จะไม่ได้เข้าหาด้วยระเบิดความรัก แต่เป็นเข้าหาด้วยการชวน ‘Deep Talk’ เรื่องส่วนตัวอย่างลึกซึ้งในเดตแรกๆ หรือช่วงต้นความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ เพื่อเป็นทางลัดสู่ความใกล้ชิดทางอารมณ์ เร่งความผูกพันแทนที่จะค่อยเป็นค่อยไป

‘Floodlighting’ เมื่อเขาดีพทอล์กใส่รัวๆ แชร์เรื่องหนักๆ ตั้งแต่เดตกันแรกๆ ความใกล้ชิดแบบเร่งรัดในความสัมพันธ์ ที่อาจทิ้งความ ‘อึดอัด’ ให้ฝ่ายที่ยังไม่พร้อม

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS