ทุกวันนี้หากคู่รักหลายๆ คู่จะเลือก ‘Sleep Divorce’ หรือการแยกกันนอน ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการแยกห้องนอนนั้นมีส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับและช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

Cameron Diaz เปิดใจถึงเคล็ดลับตลอด 8 ปี ของชีวิตแต่งงานที่ยังหวานฉ่ำและเฮลตี้จากการ ‘แยกกันนอน’

ไม่แน่ว่าเคล็ดลับนี้อาจเหมาะกับชีวิตคู่ของใครหลายคนก็ได้ เมื่อไม่นานมานี้นักแสดงสาวตลอดกาลวัย 51 อย่าง ‘คาเมรอน ดิแอซ’ (Cameron Diaz) ออกมาเปิดเผยในรายการพอดแคสต์ Lipstick on the Rim ว่าชีวิตแต่งงานของเธอยังหวานฉ่ำไม่เปลี่ยนถึงจะคบกันมานานกว่า 8 ปีแล้วระหว่างเธอกับสามี เบนจี้ แมดเดน (Benji Madden) และหนึ่งในเคล็ดลับที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ยังสดใหม่ก็คือการ ‘แยกกันนอน’&nbsp;“ฉันว่าถึงเวลาที่เราต้อง Normalize การที่คู่รักจะนอนแยกห้องกันได้แล้วค่ะ” ดิแอซ กล่าว “สำหรับฉัน ฉันมีบ้านตัวเอง เขาก็มีบ้านของเขา เรามีบ้านสำหรับครอบครัวไว้เป็นส่วนกลาง เช่นเดียวกับที่เรามีห้องนอนกันคนละห้อง ต่างคนต่างนอนในห้องตัวเอง แล้วเราก็มีห้องนอนกลางไว้สำหรับวันไหนที่อยากพัฒนาความสัมพันธ์ของเราด้วย ซึ่งฉันโอเคมากๆ กับอะไรแบบนี้”&nbsp;<img src="https://media.thairath.co.th/image/p1V2s1a2hNSSp1V2SuNY4s1iDzKTrJMvYrGcoLGVlCSwLp1V2mFCjZ0se9vA1.jpg" data-id="101385" data-url="https://media.thairath.co.th/image/p1V2s1a2hNSSp1V2SuNY4s1iDzKTrJMvYrGcoLGVlCSwLp1V2mFCjZ0se9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">แม้ว่าเมื่อก่อนเราอาจเคยได้ยินว่าบางสังคม บางวัฒนธรรมมีค่านิยมที่เชื่อว่าสามี-ภรรยาหรือคู่รักควร ‘นอนด้วยกัน’ และมองว่าการแยกกันนอนคนละเตียงหรือคนละห้องนั้นเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรอีกต่อไปแล้วหากคู่รักหลายๆ คู่จะเลือกการ ‘Sleep Divorce’ หรือการแยกกันนอน ด้วยเหตุผลที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับและช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นข้อเท็จจริงนี้ยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับและนักสังคมศาสตร์ด้านพฤติกรรม ผู้เขียนหนังสือ ‘Sharing The Covers: Every Couple's Guide To Better Sleep’ เวนดี้ ทร็อกเซล (Wendy Troxel) รวมถึงข้อมูลจากกรมป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าการนอนหลับของคนเราเชื่อมโยงไปถึงระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกาย และการถูกรบกวนระหว่างหลับ หรือการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม 7-8 ชั่วโมง เป็นประจำก็มีส่วนที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจ รวมไปถึงภาวะสมองเสื่อมที่อาจตามมา&nbsp;ไม่ใช่แค่ผลเสียทางสุขภาพเท่านั้น การถูกรบกวนระหว่างนอนหลับยังส่งผลทางด้านอารมณ์ของคนเราไม่น้อย ตั้งแต่ลดทอนระดับความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ ความสามารถในการสื่อสาร และทำให้ไม่สามารถจัดระเบียบอารมณ์ตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักได้เลยทีเดียว และการแยกเตียงนอนหรือเเยกห้องนอนก็คือ ‘ทางเลือก’ หนึ่งที่จะช่วยให้คู่รักไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านั้น… &nbsp;“คำถามที่ฉันมักได้ยินคือ มันจะไม่แย่เหรอถ้าแยกกันนอน คำตอบก็คือมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นค่ะ แถมยังจะมีข้อดีเสียด้วยซ้ำ” เวนดี้ ทร็อกเซล กล่าว ทีมวิจัยของเธอพบว่าคนที่พักผ่อนแบบมีคุณภาพมักจะมีความสามารถในการสื่อสารท่ีดีกว่า มีความสุข มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แถมมีบุคลิกภาพที่น่าดึงดูดมากกว่าคนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้นี่เองที่ยิ่งช่วยยกระดับความสัมพันธ์ของคู่รักให้พัฒนาและเป็นไปในทางที่ดีขึ้น&nbsp;อย่างไรก็ตาม การแยกกันนอนในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแยกกันทุกวันทุกคืนหรือแยกตลอดไป แต่หากเป็นการ ‘ปรับเปลี่ยน’ ตามความเหมาะสม ตามปัจจัยของแต่ละคู่ เช่น บางคู่อาจแยกกันนอนเฉพาะในช่วงวันธรรมดา แล้วกลับมานอนด้วยกันอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่แต่ละคนต่างผ่อนคลายจากการงานและความเครียดต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเวลาที่ได้กลับมานอนด้วยกันนี้เองที่อาจช่วยให้ความสัมพันธ์ของคู่รักมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น “ไม่มีอะไรจะเฮลตี้และเซ็กซี่ไปกว่าคืนที่เราได้หลับอย่างสบายใจแล้วละ” ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับกล่าวสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจแยกห้องนอน&nbsp;การแยกกันนอนมีข้อดีมากมายต่อสุขภาพกายใจตามที่กล่าวมาก็จริง แต่ก่อนจะตัดสินใจแยกกันนอนคนละห้อง ลองเช็กปัจจัยทางด้านร่างกายของตัวเองและคู่ของเราก่อนก็น่าจะดี เพราะหลายๆ คู่ที่สังเกตพฤติกรรมการนอนของกันและกันสามารถช่วยให้เห็นปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้มาก่อนได้ เช่น : ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) ที่เกิดจากปัญหานอนกรนซึ่งทำให้หยุดหายใจได้ถึง 10 นาทีหรือนานกว่านั้น ถือเป็นภาวะที่อันตรายมากหากไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็น และหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา ก็อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้&nbsp;รวมถึง กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome) หรือโรคทางระบบประสาทที่ทำให้ต้องการขยับขาเนื่องจากรู้สึกไม่สบายตัว มีอาการขากระตุก คันยิบๆ หรือรู้สึกกล้ามเนื้อตึงขณะที่พักผ่อนหรือนอนหลับ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต ผลข้างเคียงจากการกินยาแก้แพ้หรือยาต้านเศร้า การขาดธาตุเหล็ก การตั้งครรภ์ และสาเหตุอื่นๆ อย่าง กาเฟอีน แอลกอฮอล์ นิโคติน รวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนอกจากนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจแยกห้องนอนยังรวมถึงปัญหาด้านการนอนหลับอันเกิดจากเหตุปัจจัยอื่นๆ อย่างการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดคอเรสเตอรอล ยารักษาความดันโลหิตสูง ยาแก้โรคหอบหืด ยาต้านเศร้า และยากลุ่มสเตียรอยด์ต่างๆ รวมถึงปัจจัยของโรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ หรือมะเร็งที่ความเจ็บปวดเรื้อรังรบกวนการนอนหลับด้วยหากเราและคู่ของเราไม่ได้มีปัจจัยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เหล่านั้น แต่พบว่ายังเป็นเรื่อง ‘ทำใจยาก’ ที่จะแยกกันนอนจริงๆ แล้วละก็ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับแนะนำว่าลองหาวิธีรับมือก่อนจะตัดสินใจแยกห้องนอนก็ได้ เช่น : ลองลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการตื่นกลางดึกและยากที่จะหลับต่อ โดยเฉพาะกับคนที่มีภาวะนอนกรน การดื่มแอลกอฮอล์จะยิ่งเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหลอดลมผ่อนคลายลง และทำให้อาการนอนกรนยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อการนอนของทั้งตัวเองและของคู่ของเราไปด้วยทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนแนะนำว่า การใช้อุปกรณ์เสริมอย่างการหนุนหมอนให้สูงขึ้นหรือเตียงที่ปรับระดับให้ศีรษะยกสูงจากแนวราบยังช่วยทำให้หลอดลมเปิดออกระหว่างนอนหลับและลดอาการนอนกรนได้ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนท่านอนจากการนอนหงายมาเป็นการนอนตะแคงโดยใช้หมอนข้างเป็นตัวช่วยก็สามารถบรรเทาการนอนกรนได้เหมือนกัน&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำด้วยว่าหากผู้มีภาวะนอนกรนต้องนอนร่วมกับคนที่นอนหลับยาก อาจลองจัดระเบียบเวลานอนหลับใหม่ โดยคนที่มีปัญหานอนกรนลองเข้านอนช้ากว่าคนที่นอนหลับยากออกไปสักครึ่งชั่วโมง - หนึ่งชั่วโมง ระยะเวลานั้นคนที่นอนหลับยากจะเข้าสู่โหมดหลับลึกพอดีและจะไม่ถูกรบกวนจากเสียงกรนของคนที่นอนข้างๆ หรืออาจลองพึ่งพาอุปกรณ์อย่าง Ear Plugs หูฟัง หรือใช้คลื่นเสียงบำบัดที่มีความถี่สม่ำเสมอก็อาจจะช่วยตัดความสนใจและความวุ่นวายจากเสียงอื่นๆ รอบตัว ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บรรเทาความตึงเครียด และช่วยให้คนที่มีอาการนอนไม่หลับหรือมีภาวะหลับยากนอนหลับได้ง่ายขึ้น “ไม่ว่าจะเลือกแยกกันนอนหรือนอนด้วยกัน อย่าลืมว่าคุณยังมีช่วงเวลาก่อนเข้านอนที่สามารถใช้ด้วยกันอย่างมีคุณภาพได้ แทนที่ต่างคนจะมัวยุ่งอยู่กับการไถโทรศัพท์ ลองเปลี่ยนมาคุยกัน บอกความในใจ ขอบคุณกันและกัน ก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์เกิดความลึกซึ้ง และความรู้สึกดีต่อใจก่อนนอนยังช่วยให้หลับได้ดีขึ้นด้วยนะ” เวนดี้ ทร็อกเซล ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนกล่าวทิ้งท้ายว่าที่สุดแล้วเป็นผลดีกว่าแน่ๆ หากคู่รักสามารถทำให้ห้องนอนเป็นพื้นที่ปลอดภัยของกันและกันได้ โดยไม่ต้องมีใครทนฝืนเรื่องคุณภาพการนอนของตัวเอง ที่ส่งผลกับทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตในระยะยาวอ้างอิง<a href="https://edition.cnn.com/2023/12/20/health/sleep-divorce-separate-bedrooms-wellness/index.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://edition.cnn.com/2023/12/20/health/sleep-divorce-separate-bedrooms-wellness/index.html</a>&nbsp;

‘การกรีดร้องบำบัด’ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น Therapeutic Emotional Release หรือการเยียวยาเพื่อปลดปล่อยทางอารมณ์วิธีหนึ่งเหมือนกัน

‘Screaming Therapy’ การกรีดร้องบำบัดที่ ตัวช่วยลดความเครียดแบบไวๆ ที่ทำง่ายและทำได้ทันที

นักแสดงสาว ลิลี่ ไรน์ฮาร์ต (Lili Reinhart) วัย 27 ผู้แจ้งเกิดจากซีรีส์สุดฮิต Riverdale (2017-2023) ได้โพสต์คลิปบอกเล่าถึงสถานการณ์ของตัวเธอเองหลังจากต้องเผชิญกับโรค Alopecia หรือโรคที่ทำให้ผมร่วงเป็นหย่อมจนต้องใช้วิธีรักษาด้วยเครื่อง Red Light พร้อมๆ กับเปิดเผยว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา สุขภาพจิตของเธอเองก็ดิ่งลงเหวจากโรคซึมเศร้า และทำให้เธอต้องรับมือกับทั้งอาการป่วยทางร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วงไม่น้อยไปกว่ากัน 

Lili Reinhart เปิดใจล่าสุดถึงการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิต

การที่นักกีฬาทีมชาติสักคนจะตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งขันใหญ่ที่สุดอย่างโอลิมปิก ด้วยเหตุผลเพราะ "จิตใจไม่ไหว" อาจเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้นในยุคหนึ่ง แต่หลังการตัดสินใจครั้งใหญ่ของ ซิโมน ไบลส์ (Simone Biles) อะไรๆ อาจเปลี่ยนไป

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Relationship

Cameron Diaz เปิดใจถึงเคล็ดลับตลอด 8 ปี ของชีวิตแต่งงานที่ยังหวานฉ่ำและเฮลตี้จากการ ‘แยกกันนอน’

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS