หลายคนอาจคุ้นชินกับสูตรสำเร็จที่ว่ามี ‘เดท’ ก็ต้องมี ‘ดื่ม’ ไปโดยปริยายด้วยความเชื่อว่าถ้าไม่ดื่มบรรยากาศอาจไม่ไหลลื่นอย่างที่ควรจะเป็น แต่ดูเหมือนคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยกลับไม่คิดแบบนั้นสักเท่าไร

มี ‘เดท’ ไม่ต้องมี ‘ดื่ม’ ก็ได้ เมื่อคนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่ดื่มในการเดท เพราะอยากมีสติเต็มร้อยในบรรยากาศโรแมนซ์

แม้จะไม่มีระบุไว้ในตำราไหนชัดเจนว่าการเดทจำเป็นต้องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาอยู่ในสมการ หากแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเช่นในบางพื้นที่ บางสังคม การดื่มเป็นวัฒนธรรมที่ผสมอยู่กับการเดทอย่างขาดไม่ได้ และนั่นทำให้เราคุ้นชินกับสูตรสำเร็จที่ว่ามี ‘เดท’ ก็ต้องมี ‘ดื่ม’ ไปโดยปริยายด้วยความเชื่อว่าถ้าไม่ดื่มบรรยากาศอาจไม่ไหลลื่นอย่างที่ควรจะเป็น แต่ดูเหมือนคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยกลับไม่คิดแบบนั้นสักเท่าไร…&nbsp;เพราะถ้าดูจากการสำรวจผู้ใช้บริการแอพพลิเคชั่นหาคู่ Flirtini จำนวนกว่า 2,000 คน ก็จะพบว่า 1 ใน 4 ของผู้ชาย และ 1 ใน 5 ของผู้หญิงมักจะปฏิเสธการเดทครั้งต่อๆ ไปกับคนที่ดื่มหนักตั้งแต่เดทแรก ยิ่งไปกว่านั้นมากกว่า 50% ของผู้หญิง และอีก 28% ของผู้ชาย ต่างเลือกที่จะไม่ดื่มในการเดทครั้งแรกด้วยเหตุผลคล้ายๆ กันว่าการดื่มแอลกอฮอล์สำหรับพวกเขาคือตัวทำลายมู้ดดีๆ ของการทำความรู้จักกันนี่เอง นอกจากนั้นผู้ชายและผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งก็มองด้วยว่าใครที่ถ่ายรูปคู่กับแก้วเหล้าอยู่ในรูปโปรไฟล์นั้นไม่ได้เท่หรือน่าดึงดูดสำหรับพวกเขาบทสัมภาษณ์บนเว็บไซต์ Vice เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้เล่าเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่สารภาพว่าเดทแรกของเธอเหมือนจะไปได้ราบรื่น เมื่อหนุ่มคู่เดทถามว่าอยากดื่มอะไร เธอก็คิดว่าไวน์สักแก้วสองแก้วน่าจะดี จนกระทั่งเขาสั่งวอดก้ามาทั้งขวดนั่นแหละ คืนนั้นเลยจบลงด้วยการเป็นเดทแรกและเดทสุดท้ายระหว่างทั้งคู่เรื่องราวข้างต้นอาจฟังแล้วเหมือนขำ แต่เอาเข้าจริงอาจขำไม่ออก เพราะความคาดหวัง ในไลฟ์สไตล์การ ‘ดื่ม’ ที่ไม่ตรงกันนี่เองที่เป็นสาเหตุให้การเดทของใครหลายคนจบแบบดราม่าได้มากกว่าที่คิดการเดตโดยไม่ดื่มถือว่าเป็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเล็กๆ ที่น่าสนใจเหมือนกัน ว่าการดื่มโดยเฉพาะในเดทแรกอาจจะกลายเป็นคัลเจอร์ที่ไม่คูลอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากคนยุคนี้เลือกที่จะเอ็นจอยกับการเดทแบบที่ยังคอนโทรลสติตัวเองได้เต็มร้อย และตั้งใจที่จะเสพประสบการณ์การเดทที่ลึกซึ้งมากกว่าโดยไม่จำเป็นต้องใช้แอลกอฮอล์มาเป็นตัวช่วย&nbsp;“ฉันพบว่าตัวเองไปเดทแรกและตามด้วยครั้งที่ 2 บ่อยมากในรอบ 3 ปีมานี้ ซึ่งแต่ละครั้งเราต่างดื่มกันเมามาย จากนั้นก็คุยเรื่องลึกๆ ของกันและกัน มีเซ็กซ์กัน แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการ Ghosting กันไปมาทุกที” Cova วัย 27 เล่าประสบการณ์การเดทของเธอผ่านเว็บไซต์ Vice ผู้ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไรที่ผิดพลาดไปถึงทำให้เดทของเธอลงเอยแบบนี้ทุกที แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกว่าไม่ได้รับการให้เกียรติจากคนเหล่านั้นเลย จนระทั่งตกตะกอนได้ว่าอาจเป็นเพราะ ‘การดื่ม’ ที่มากเกินไปหรือเปล่า “ฉันพบว่าตัวเองกำลังเดินตามแพทเทิร์นการเดทที่บอกว่า ‘เมาให้สุด แล้วอย่าหยุดพูดเรื่องตัวเอง’ แต่สุดท้ายแล้วมันคือแชร์เรื่องส่วนตัวมากเกินไป จนเกิดความรู้สึกใกล้ชิดลึกซึ้งต่อคนๆ นั้นขึ้นมา ซึ่งนั่นไม่ปกติเลย”&nbsp;เช่นเดียวกับ Billie วัย 28 ที่เห็นด้วยว่าการดื่มนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหา แต่การดื่มจนสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวในเดทแรกมีผลกระทบต่อความรู้สึกของกันและกันอย่างมาก เธอกับคู่เดทเลยดื่มน้อยที่สุด และหลายครั้งก็เลือกจะไม่ดื่มเลยด้วยซ้ำ ผลปรากฏว่ามันสร้างความรู้สึกเฟรชได้ไม่แพ้กัน “กลายเป็นว่าเซ็กซ์ของเรามันดีงาม แล้วก็ดีมากๆ ด้วยที่เราต่างตื่นขึ้นมาตอนเช้าแบบไม่เเฮงค์”ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทัศนคติต่อไลฟ์สไตล์การเดทและดื่มของคนส่วนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปอาจมาจากการที่คนรุ่นใหม่เริ่มตะหนักในเรื่องของสุขภาพกันมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะมองหาความมั่นคงในชีวิตเร็วขึ้นในขณะที่อายุยังไม่มาก การเดทหรือทำความรู้จักใครแต่ละครั้งจึงไม่ได้เป็นไปเพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่การเดทยังเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตเรื่องหนึ่งที่ต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างแม่นยำด้วย อย่าง Sabrina วัย 30 ที่บอกว่าการดื่มแบบเอาเป็นเอาตายเวลาเดทกันเหมือนสมัยวัยรุ่น ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเธอสักเท่าไรแล้วเมื่อถึงวัยหนึ่ง “ฉันเคยคิดว่าการดื่มระหว่างเดทเป็นการช่วยลดความกังวล แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าการดื่มอาจขัดขวางการรับรู้ โดยเฉพาะกับคนที่คุณไม่ได้รู้จักเขาดีมาก่อน” และเธอมองว่าความรู้สึกปลอดภัย สบายใจที่เกิดขึ้นเวลาอยู่กับใครแบบมีสติครบถ้วนเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า&nbsp;ด้าน Eden Heath ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดท เจ้าของพอดแคสต์ Queer Love Stories ก็พบความแตกต่างว่าเดทครั้งไหนที่เลือกไม่ดื่ม เขามักจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับคนที่กำลังเดทด้วย และทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปหรือเปล่า“ทุกวันนี้ Coffee Date ตอนกลางวันก็อาจเป็นทางเลือกของการเดทได้ดีอีกทางหนึ่ง ข้อดีอย่างแรกคือมันทำให้มองเห็นคนๆ นั้นได้แบบเคลียร์ๆ ในช่วงเวลาปกติโดยไม่มีม่านหมอกของแอลกอฮอล์เข้ามาบดบัง ข้อดีต่อมาคือเป็นการเดทแบบ ‘เซฟๆ’ เซฟทั้งเงินทั้งเวลา ไม่ต้องลงทุนมากหรือใช้เวลานานมากเท่า Dinner Date และข้อดีสุดท้ายคือหากรู้สึกว่าคนๆ นั้น ‘ไม่ใช่’ ก็จบกันแค่ Coffee Date นั้นเลย ไม่ต้องมีภาระผูกพันอะไรกันต่อ” พูดง่ายๆ ก็คือคนยุคนี้เวลาน้อย อะไรเป็นตัวเลือกที่ง่าย เร็ว และชัดเจนกว่าย่อมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ&nbsp;“หรือถ้าหากโชคดี Coffee Date ออกมาโอเคจนคุณอยากยืดเวลาอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย คุณอาจจะชวนกันไปเดินเล่นมิวเซียม เดินหอศิลป์ เดินร้านหนังสือ ก็เป็น Vibe แบบหนังโรแมนติกที่โอเคเเหละ อาจดู Cliché แต่มันก็ไร้แอลกอฮอล์นะ”เขามองว่าในบางวัฒนธรรมก็สร้างความกดดันทางสังคมเรื่องการดื่มให้กับเราโดยไม่รู้ตัว การเลือกไม่ดื่มของเราอาจมาพร้อมกับคำถามที่ทำให้ต้องอธิบายยืดยาวและกระอักกระอ่วนไม่น้อยว่าทำไมถึงเลือกแบบนั้น “จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญในการเดทของคนสองคนคือ แต่ละฝ่ายควรทำความเข้าใจและตกลงกันก่อนโดยไม่ต้อง Judge กัน คุณไม่ต้องพยายามอธิบายหรือรู้สึกลำบากใจถ้าชัดเจนในจุดยืนแล้วว่าจะไม่ดื่มระหว่างเดท เพราะหากเขาคนนั้นสร้างความกดดันเรื่องนี้จนคุณรู้สึกไม่เป็นตัวเอง นั่นคงไม่ใช่คู่ที่แมทช์กับคุณหรอกจริงไหม”&nbsp;อย่างไรก็ตามการดื่มพอหอมปากหอมคอระหว่างเดทไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด ยังมีข้อดีตรงที่มันช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดลง ซึ่งอาจจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครที่เข้าสังคมไม่เก่งหรือคุยไม่เก่ง แอลกอฮอล์นิดหน่อยก็สามารถช่วยให้บทสนทนาลื่นไหลต่อไปได้&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดทมองว่าเป็นเรื่องดีถ้าหากคนรุ่นใหม่เลือกที่จะเดทกันแบบมีสติ เพราะมันอาจนำมาสู่ความสัมพันธ์ที่เฮลธ์ตี้ในระยะยาวได้ “จงใช้ประโยชน์จากเดทแรกดูว่าคนๆ นั้นคือคนที่น่าจะใช่สำหรับคุณไหม แล้วไม่ต้องเดินตามแพทเทิร์นหรือสูตรสำเร็จของคนอื่นมากนัก มันไม่สำคัญหรอกว่าจะมีเเอลกอฮอลล์หรือไม่มี จะดื่มหรือไม่ดื่ม การเดทควรเป็นเรื่องสนุก Go with the Flow / with Consent ที่ทั้งสองฝ่ายสบายใจ และได้เป็นตัวเอง”&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.vice.com/en/article/k7zkaw/drinking-on-a-first-date" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.vice.com/en/article/k7zkaw/drinking-on-a-first-date</a>&nbsp;<a href="https://www.msn.com/en-gb/lifestyle/relationships/doing-this-one-thing-puts-one-in-five-women-off-wanting-a-second-date/ar-AA1j90mQ" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.msn.com/en-gb/lifestyle/relationships/doing-this-one-thing-puts-one-in-five-women-off-wanting-a-second-date/ar-AA1j90mQ</a>&nbsp;

ในช่วงเวลาวันหยุดยาวที่หลายคนต้องเดินทางกลับบ้าน ต้องพบปะญาติพี่น้อง สมาชิกในครอบครัวอีกครั้ง แม้คำว่า ‘ครอบครัว’ โดยทั่วไปจะฟังดูอบอุ่น เป็นโซนปลอดภัย แต่สำหรับบางคน คำๆ นี้อาจไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น เมื่อการต้องเจอสมาชิกในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันหลายๆ คน หลายๆ วัน อาจกลายเป็นเหมือน ‘ฝันร้ายวันรวมญาติ’ ที่สร้างความรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจให้มากกว่า จนอยากหนีไปไกลๆ และอยากให้มันจบลงเร็วๆ เลยทีเดียว 

My Family v My Boundary เมื่อวันรวมญาติไม่ได้น่ารักเสมอไป เราจะเซ็ต ‘ขอบเขต’ ระหว่างตัวเองกับครอบครัวอย่างไรให้ใจไม่หงุดหงิด และความสัมพันธ์ในครอบครัวยังราบรื่น

ความอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจไปหมดซะทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณลักษณะชวนเคลิ้มที่หากใครได้เจอ ก็น่าจะทำให้รู้สึกใจบางได้ไม่ยาก มองเผินๆ ก็ดูโอเค ไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยตรงไหน ทว่าในคุณสมบัติที่เหมือนดีต่อใจแบบนี้นี่แหละ เราอาจต้องกลับมาดึงสติให้ดีๆ อีกที เพราะมันอาจเป็นความร้ายกาจที่ทำให้ปวดใจทีหลัง ซึ่งเรียกว่า Dark Empaths ที่ซ่อนมาภายใต้ความละมุนนี้ก็ได้

Dark Empaths พฤติกรรมด้านมืดของการใช้ความเข้าอกเข้าใจ มองหาช่องว่างในความอ่อนไหว เพื่อหลอกใช้คนอื่น

ชีวาศรม ผู้นำด้านการให้บริการเวลเนสแบบองค์รวมนับตั้งแต่ปี 2538 เตรียมการฉลองครบรอบ 30 ปี ในปี 2568 นี้ ด้วยกิจกรรมพิเศษมากมายสำหรับผู้เข้าพักที่รีสอร์ทตลอดเดือนเมษายนนี้ที่ ชีวาศรม หัวหิน 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS