Beige Flags พฤติกรรม หรือนิสัยแปลกๆ ส่วนตัว ที่เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพอใจ หรือไม่พอใจมากกว่า ส่วน Yellow Flags เป็นพฤติกรรมชวน ‘เอ๊ะ’ ว่ามันผิด หรือท็อกซิกไหม

เพราะธงในความสัมพันธ์ไม่ได้มีแค่สีแดงหรือสีเขียว รู้จัก ‘Beige Flags’ นิสัยส่วนตัวที่ไม่ได้ผิดสักนิด แค่อาจไม่ถูกใจบางคน และ ‘Yellow Flags’ นิสัยชวนให้เอ๊ะ ว่าตกลงคนนี้ท็อกซิกไหมนะ?

เมื่อพูดถึง ‘ธง’ ในความสัมพันธ์ หลายคนรู้ดีว่า ธงแดง หรือ Red Flags คือนิสัย หรือพฤติกรรมบางอย่างของอีกฝ่ายที่เรามองว่าอาจเป็นอันตรายต่อตัวเราและอันตรายต่อความสัมพันธ์ เช่น บางคนมองว่า คนขี้โกหก เจ้าชู้ นอกใจ ใช้ความรุนแรง เหยียดเพศ ฯลฯ เป็นธงแดงที่พร้อมจะตัดออกเด็ดขาดเมื่อมีคนลักษณะนี้เข้ามา ตรงกันข้ามกับ ธงเขียว หรือ Green Flags ที่ถ้าเป็นไปได้ หลายคนก็คงอยากจะมีแฟนที่มีนิสัย หรือพฤติกรรมเฮลตี้ในความสัมพันธ์ และดีต่อใจ เป็นมิตรต่อสุขภาพจิต เช่น บางคนมองว่า คนที่พร้อมจะสนับสนุน อยู่เคียงข้างเราเสมอ มีเหตุผล คอยปลอบโยน ไม่ใช้ความรุนแรง ไปจนถึงมีทัศนคติที่ดีต่อคนรอบข้าง คือลักษณะคนที่พร้อมจะเปิดไฟเขียว เดินหน้าต่อในความสัมพันธ์ แต่ใช่ว่าจะมีแค่ธงแดง และธงเขียวที่น่าพูดถึง ยังมีธงเบจ และธงเหลือง ซึ่งเป็นธงสีกลางๆ ในความสัมพันธ์ซึ่งมีแค่คุณเท่านั้น ที่ต้องหาคำตอบเอาเองว่า จากสีกลางๆ นี้ จะกลายเป็นเขียว หรือกลายเป็นแดงมาเริ่มกันที่ ธงเบจ หรือ Beige Flags เป็นธงที่เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะพอใจ หรือไม่พอใจมากกว่า (ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ผิดอะไรด้วยนะ) ธงเบจเป็นพฤติกรรม หรือนิสัยแปลกๆ ส่วนตัว ที่ทำให้คนในความสัมพันธ์รู้สึกขึ้นมาว่า โอ้ เธอคนนี้แปลกจัง หรือบางคนก็มองว่า โอ้ นิสัยของเธอคนนี้น่ารักจัง เช่น แฟนของคุณอาจเป็นติ่งไอดอลเกาหลี ไปทุกคอนเสิร์ต ร้องได้ทุกเพลง และดูจริงจังกับการติ่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากอีกฝ่ายเข้าใจ ก็คงเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักไปเลย ที่มีแฟนคอยซัพพอร์ตความชอบ แต่สำหรับบางคนแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจ หรือพาลหึง ที่แฟนดูจะสนใจไอดอลเกาหลีก็อาจทำให้เกิดความอึดอัดในความสัมพันธ์ขึ้นมา หรือบางคนเลิกกันเพราะเรื่องนี้ก็เป็นไปได้ ทั้งที่การเป็นติ่ง หรือการชอบศิลปินคนไหนก็ล้วนเป็นสิทธิส่วนบุคคล และไม่เฉียดเข้าใกล้คำว่าผิดเลยสักนิด&nbsp;หรืออีกตัวอย่างนิสัย เช่น นิสัยชอบดูหมอดูเป็นชีวิตจิตใจ ที่จริงๆ ก็ล้วนเป็นความชอบ เป็นความเชื่อ และเป็นสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งในกรณีธงเบจ แฟนก็อาจมองว่าการเชื่อหมอดูมากๆ เป็นนิสัยที่ดูน่ารัก หรือดูแปลกดี ซึ่งจะเป็นแปลกในเชิงบวก หรือเชิงลบ ก็คงแล้วแต่มุมมอง หากแฟนเข้าอกเข้าใจดี ก็คงไม่มีปัญหาอะไร หากมันไม่ได้กระทบกับความสัมพันธ์ แต่สำหรับบางคู่อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ชอบนิสัยนี้ก็ได้ เพราะมองว่างมงาย (ยกเว้นกรณีที่ดูดวงจนเครียด แล้วเอามาพาลลงในความสัมพันธ์ กรณีนี้อีกฝ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกว่าท็อกซิกได้)หรือการที่แฟนของคุณมีนิสัยเล็กๆ เช่น ชอบให้ของทุกชิ้นวางเป็นระเบียบตลอดเวลา ไม่ชอบเห็นทิชชูวางอยู่บนโต๊ะ ชอบฮัมเพลงขึ้นมาดื้อๆ ติดอุทานคำแปลกๆ หรือคำหยาบเวลาตกใจ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าธงเบจมักจะเป็นนิสัยหรือพฤติกรรม ‘ส่วนตัว’ ที่ไม่ใช่ความผิดอะไรเลย มีแต่ว่าอีกฝ่ายชอบ หรือไม่ชอบ ก็เท่านั้น และถ้าเกิดไม่ชอบขึ้นมา นั่นแหละจะกลายเป็นสัญญาณของปัญหาในความสัมพันธ์ ที่บางเรื่องอาจปรับแก้กันได้ แต่บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปรับ เพราะนั้นคือ ‘ตัวตน’“เราทุกคนมีนิสัย บุคลิก และพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา และนั่นทำให้เราเป็นเรา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นวิธีรับมือ หรือตอบสนองต่อความเครียด หรือสิ่งที่เราทำให้ตัวเองรู้สึกดีก็ได้” Phyllis Ginsberg นักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัว กล่าวเช่นเดียวกับ Zoe Shaw นักจิตบำบัด ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับธงเบจว่า “ฉันไม่คิดว่าจะมีใครควรถูกตัดออกจากความสัมพันธ์เพราะธงเบจค่ะ เพราะว่าเราทุกคนต่างก็แปลก พวกเราทุกคนมีความแปลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่แล้ว”เพราะสุดท้ายแล้ว การยอมรับตัวตนที่อีกฝ่ายเป็น เป็นสิ่งสำคัญของความสัมพันธ์ ยิ่งตัวตนนั้นไม่ได้เป็นอันตราย หรือทำร้ายใคร เขาก็ไม่ผิดที่จะเป็นตัวเองต่อมาคือ ธงเหลือง หรือ&nbsp;Yellow Flags ธงสีนี้จะแตกต่างกับสีเบจตรงที่ สีเบจอาจเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิด แต่สีเหลืองเป็นพฤติกรรมชวน ‘เอ๊ะ’ ว่ามันผิด หรือท็อกซิกไหม ไปจนถึงอาจพัฒนาไปเป็นธงสีแดงได้เลยก็ได้ เช่นเดียวกับกรณีที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้าเรื่องเป็นติ่งไอดอลเกาหลี แล้วแฟนไม่เข้าใจ เราอาจมองนิสัยไม่เข้าใจ หรือมีท่าทีต่อต้านความชอบของเราเป็นธงเหลืองไปก็ได้ ที่หากเราเริ่มติดธงเหลืองไว้ในใจ แล้วดูท่าทีของเขาไปเรื่อยๆ ก็อาจทำให้เราได้ทบทวนความสัมพันธ์นี้อย่างละเอียดอ่อน เพราะบางครั้งอีกฝ่ายอาจจะหนักข้อขึ้นไปเรื่อยๆ หรือเริ่มบังคับให้เราเลิกชอบ หรือเลิกทำในสิ่งที่เรารัก ซึ่งนั่นก็อาจกลายเป็นธงแดงได้ในท้ายที่สุด“ธงแดงเป็นสัญญาณที่บอกคุณว่า เมื่อใดที่เราควรเดินออกจากความสัมพันธ์ ส่วนธงเหลืองเป็นเหมือนสัญญาณให้เราก้าวช้าๆ อย่างระมัดระวัง และให้เวลาตัวเองประเมินคนรักเพิ่มเติมว่าเราควรจะลงใจไปกับความสัมพันธ์นี้หรือเปล่า” Parisa Ghanbari อธิบายนิสัยของคนธงเหลือง ส่วนใหญ่มักจะเป็นนิสัยคลุมเครือที่เรา ‘ไม่แน่ใจ’ ว่าจะเอายังไงดีกับเขา เช่น เขาอาจจะยังติดต่อกับแฟนเก่าอยู่ ซึ่งในกรณีที่เขาสร้างความสบายใจให้เราได้ว่าการติดต่อนั้นมีเหตุผล และเขาสองคนไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งแล้ว เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หรือมีเหตุจำเป็นให้คุยกันเฉยๆ หลายคนก็อาจเปิดใจ และเข้าใจได้ แต่สำหรับบางคนที่ไร้ซึ่งคำอธิบาย หรือพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามถึงการความสัมพันธ์กับแฟนเก่า หรือมีพฤติกรรมชวนเอ๊ะ ก็ไม่แปลกที่แฟนตัวจริงอาจติดธงเหลืองไว้ก่อนก็เป็นได้ เพราะมันไม่เกิดความน่าไว้วางใจในความสัมพันธ์เลยนอกจากนี้ยังมีเรื่องของภาวะทางอารมณ์ที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะเอ๊ะๆ กับนิสัยของแฟน แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เช่น บางคนดีกับเรามากๆ แต่ทำไมถึงทำนิสัยไม่น่ารักกับคนอื่น สิ่งนี้อาจทำให้เรามานั่งคิดว่าการที่เขาใจร้ายกับคนอื่น แต่ดีกับเราคนเดียว มันเวิร์กจริงไหม? และเขาจะไม่มีวันใจร้ายกับเราจริงหรือเปล่า? หรือบางคนอาจเคยทะเลาะขึ้นเสียงกัน แล้วแฟนเกิดง้างมือขึ้นมาเหมือนจะตบตี แต่ก็วางมือลงไป นี่ก็อาจทำให้ต้องมาคิดว่า ในอนาคตจะมีวันที่เขาลงมือทำร้ายเราขึ้นมาจริงๆ หรือเปล่าเหมือนกัน หรือบางคนที่ติดนิสัยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ชอบคิดแทนเรา เพราะอ้างว่า ‘รู้จักเราดีพอ’ แต่สิ่งนั้นเมื่อทำแล้ว กลายเป็นเรารู้สึกอึดอัด เพราะเขาไม่มาถามก่อน เช่น ชอบคิดว่าเราจะชอบแบบนั้น แบบนี้ แม้ในความจริงเราอาจจะเคยชอบ แต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว (แต่เขาไม่ถามเลย!) อาทิ เรื่องเซ็กซ์ ที่ก็มีหลายคู่ที่ทำบางอย่างเพราะคิดไปเองว่าอีกฝ่ายจะชอบโดยไม่ได้ถามความยินยอม ซึ่งหากมองให้ไกลกว่าเดิม นี่ก็เป็นการละเมิด consent ในความสัมพันธ์ได้เหมือนกัน &nbsp;ฉะนั้นแล้ว เรื่องของความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ต้องดูกันยาวๆ วันนี้เขาเป็นแบบนี้ วันหน้าเขาอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า เรารับได้ไหมกับตัวตนของเขา หรือถ้าตัวตนของเขามันเป็นพิษต่อความสัมพันธ์ หรือต่อตัวเรา จนเรารับไม่ได้ เขาปรับให้กันได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าปรับได้ความสัมพันธ์ก็คงเดินหน้าต่อ เผลอๆ อีกฝ่ายอาจจะกลายเป็นคนธงเขียวเข้าสักวัน แต่ถ้าปรับไม่ได้ และดูจะมีแนวโน้มจะท็อกซิกมากกว่าเดิม ความสัมพันธ์นี้อาจถึงคราวต้องติดธงแดงแล้วล่ะอ้างอิง: <a href="https://www.today.com/life/relationships/beige-flags-meaning-dating-rcna87242" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.today.com/life/relationships/beige-flags-meaning-dating-rcna87242</a>&nbsp;<a href="https://www.verywellmind.com/beige-flags-in-a-relationship-7553305" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.verywellmind.com/beige-flags-in-a-relationship-7553305</a><a href="https://www.bustle.com/wellness/yellow-flags-in-a-relationship" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bustle.com/wellness/yellow-flags-in-a-relationship </a>

จากกรณีของ ชาล็อต ออสติน ที่เพิ่งเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากคนจำนวนมากพร้อมส่งกำลังใจให้เธอ ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องนี้ก็ทำให้คนไทยอีกหลายคนได้เปิดรับเอาเรื่องของ ‘โรคแพนิค’ เข้าไปไว้ในใจ

ทำความรู้จัก ‘โรคแพนิค’ ที่ส่งผลกระทบกับ ชาล็อต ออสติน จนให้ทำตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพและเกิดสภาวะ Panic Attack บนเวที

บ่อยครั้งที่คนระบายมีเรื่องอยากพูดเต็มไปหมด โดยไม่ได้ถามไถ่อีกฝ่ายว่าเรื่องราวที่กำลังจะถาโถมเข้ามานั้นผู้ฟังเขา ‘พร้อมรับ’ หรือเปล่า และนี่เองคือสิ่งที่เรียกว่า Trauma Dumping หรือการโยนปัญหาและความทุกข์ใส่อีกคนแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่ได้คำนึงถึง Boundary ของอีกฝ่าย

Trauma Dumping การเอาความทุกข์โยนใส่คนอื่น ซึ่งทั้งไม่แฟร์ และ Toxic ต่อความสัมพันธ์

การสื่อสารเลยเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพื่อให้ทุกคนได้มาเจอกันตรงกลางและได้เอนจอยกันทุกฝ่าย ไม่มีใครต้องคอยกล้ำกลืนฝืนทนอยู่เงียบๆ คนเดียว

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS