Cake Smash หรือวัฒนธรรมการเอาเค้กโปะหน้ากันในงานแต่งงานเป็นแค่แพลงก์ที่คู่บ่าวสาวใช้แกล้งกันขำๆ แต่ก็เป็นสัญญาณของการ ‘คุกคาม’ ทางร่างกายและจิตใจที่อาจร้ายแรงถึงขั้นสามารถกระทบต่อความสัมพันธ์ได้เลย

Cake Smash วัฒนธรรมเค้กโปะหน้าในงานแต่ง ที่ทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ขอหย่ากับเจ้าบ่าว เพราะมันไม่ใช่แค่การแกล้งขำๆ แต่คือสัญญาณของการคุกคามที่อาจอันตรายต่อความสัมพันธ์

“ช่วยด้วยค่ะ ฉันกำลังจะขอหย่ากับสามี หลังจากที่เขาทำกับฉันในงานแต่งของเรา ทุกคนบอกว่าฉันเว่อร์เกินเหตุ และกำลังตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องให้อภัยไม่ได้เลย”นี่คือข้อความจากผู้หญิงคนหนึ่งที่แชร์ประสบการณ์ของเธอบนเว็บไซต์ Slate.com ว่าเธอกำลังจะขอหย่ากับสามีทันทีหลังจากคืนวันแต่งงานจบลง สาเหตุเพราะเจ้าบ่าวของเธอเอาเค้ก ‘โปะหน้า’ เธอกลางงาน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงร่วมกันที่ว่าห้ามไม่ให้มีการเล่นเอาเค้กโปะหน้ากัน&nbsp;เนื่องจากเธอเป็นโรคกลัวที่แคบ (Claustrophobic) จากอุบัติทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน และการถูกโปะเค้กบนหน้าแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอมีอาการแพนิกกำเริบอย่างรุนแรง จนตัดสินใจขอหย่ากับสามีที่เพิ่งแต่งหมาดๆ ทันที&nbsp;เหตุการณ์ของเจ้าสาวผู้ไม่ประสงค์ออกนามนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่กลับถูกจุดประเด็นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อผู้ใช้แพลตฟอร์ม X เเอ็กเคานต์หนึ่งหยิบเหตุการณ์นี้มาแชร์ และทำให้เกิดการถกเถียงกันหลากหลายความเห็นว่าแท้จริงแล้ว ‘Cake Smash’ หรือวัฒนธรรมการเอาเค้กโปะหน้ากันในงานแต่งงานเป็นแค่แพลงก์ที่คู่บ่าวสาวใช้แกล้งกันขำๆ เพื่อสร้างความบันเทิงและดูไม่น่าจะซีเรียสอะไร หรือเป็นสัญญาณของการ ‘คุกคาม’ ทางร่างกายและจิตใจที่อาจร้ายแรงถึงขั้นสามารถกระทบต่อความสัมพันธ์ได้เลย ในบทความของ แครอล วิลสัน (Carol Wilson) เรื่อง Gastronomica ที่ทำการศึกษาเรื่องรากเหง้าของอาหารพบว่า การโปะเค้กบนหน้าของคู่บ่าวสาวมีที่มาจากวัฒนธรรมโรมันโบราณ ซึ่งจะเฉลิมฉลองพิธีแต่งงานด้วยการใช้เค้กที่ทำจากข้าวสาลี หรือบาร์เลย์ ขยี้ลงบนหัวของเจ้าสาว เพราะเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีมีชัย การโปะเค้กบนหน้าของบ่าวสาวได้ถูกส่งต่อมายังวัฒนธรรมงานแต่งของตะวันตกเรื่อยมา กระทั่งแปรเปลี่ยนจากประเพณีโบราณและความเชื่อมาเป็นการเล่นสนุกสร้างเสียงเฮฮาและความบันเทิง ไม่เพียงแค่เฉพาะในงานแต่งงาน แต่ยังรวมถึงงานเฉลิมฉลองอื่นๆ ที่มีเค้กเป็นองค์ประกอบ อย่างเช่นงานวันเกิดด้วย&nbsp;ทว่าในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่ทุกคนที่คิดว่า Cake Smash จะสร้างความบันเทิงไปเสียหมด ความเห็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้แพลตฟอร์ม X มองว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความสนุกสนานเฮฮาของการเอาเค้กโปะหน้ากันในงานแต่งคือโอกาสที่จะสร้างความรู้สึกอับอายขายหน้า และโอกาสในการคุกคามทางร่างกายอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่มีความผิด อีกทั้งยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนที่โดนกระทำ ด้วยข้ออ้างที่ว่า ‘แค่แกล้งขำๆ หน่า’ นี่เองในคลิปไวรัลที่ถูกแชร์หลายๆ คลิปมักพบว่าผู้ชายหรือเจ้าบ่าวเป็นฝ่ายเริ่มแพลงก์นี้กับเจ้าสาวซึ่งเป็นผู้หญิงมากกว่า บางความเห็นบอกว่านี่อาจเป็น ‘Protest Behaviours’ หรือพฤติกรรมความอยากเอาชนะความรักความสนใจจากอีกฝ่ายที่ไม่ค่อยจะเฮลธ์ตี้สักเท่าไร ซึ่งมีที่มาได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความรู้สึกไม่มั่นคง ไร้ค่า ถูกละเลย หรือขาดความมั่นใจในตัวเอง เป้าหมายคือต้องการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า แต่กลับเป็นการสร้างความรู้สึกขุ่นเคืองให้อีกฝ่ายแทน จนถึงกับทำให้สูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจที่อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ในระยะยาวมีปัญหาได้ แต่ที่รุนแรงกว่านั้นคืออาจมองว่าเป็นการคุกคามทางร่างกายและจิตใจที่ซ่อนมาในรูปแบบของความสนุกได้เหมือนกัน&nbsp;วัลรีซ โจนส์ (Valese Jones) ผู้ก่อตั้ง Sincerely Nicole Mediaพีอาร์เอเจนซี่ที่ผ่านประสบการณ์การวางแผน และจัดงานเวดดิ้งให้กับคู่รักมานักต่อนัก และเป็นเจ้าของคลิปไวรัลที่เจ้าบ่าวทำลายเค้กจนทะเลาะกับเจ้าสาวกลางงานแต่งบอกว่า ‘Cake Smash’ ก็เหมือนอะไรหลายๆ อย่างในงานแต่งงานที่คู่บ่าวสาวต้องวางแผน และตกลงเห็นชอบร่วมกันก่อนจะลงมือทำ ถ้าไม่นับเรื่องสิ้นเปลืองเงินไปเปล่าๆ เพื่อความบันเทิง (ที่อาจจะไม่บันเทิงกับทุกคนแล้ว) การเอาเค้กโปะหน้าโดยไม่ได้ตกลงกันก่อนคือการข้ามเส้น ‘Boundary’ ของอีกฝ่าย และบ่อยครั้งพฤติกรรมที่ดูเหมือนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็มักนำไปสู่การข้ามเส้นของกันและกันในเรื่องใหญ่ๆ อื่นๆ ด้วย&nbsp;“ฉันเรียนรู้ว่าบางครั้งค่านิยม ‘ชายเป็นใหญ่’ กระทบกับความสัมพันธ์อย่างไรบ้าง” โจนส์ กล่าว “คู่หนึ่งที่ทุกวันนี้ก็ยังรักกันดีอยู่คือคู่ที่ต่างฝ่ายต่างรับฟังความต้องการของกันและกัน โดยที่ฝ่ายชายจะไม่มองว่าสิ่งที่แฟนของเขาต้องการเป็นแค่ ‘เรื่องผู้หญิงๆ’ ที่สำคัญพวกเขาเคารพ ‘ขอบเขต’ และให้ความสำคัญกับความสบายใจของอีกฝ่ายมาเป็นอันดับแรก”ขณะเดียวกันโจนส์บอกว่า คู่รักที่ทะเลาะกันอย่างในคลิปที่เธอแชร์นั้นก็มักจะลงเอยด้วยการหย่าร้าง “ถ้าหากต่างฝ่ายต่างไม่เคารพความต้องการของกันและกัน ไม่แคร์ว่าอีกคนจะอยากได้อะไรในวันสำคัญที่สุดในชีวิต ทุกอย่างก็จะแย่ลง เหมือนเคสหนึ่งที่ฉันจำไม่ลืมคือฝ่ายหญิงไม่ต้องการให้มีเค้กในงานแต่ง แต่ฝ่ายชายดึงดันอยากให้มี สรุปฝ่ายหญิงก็ตามใจเขา พอถึงวันงานตอนที่ต้องตัดเค้ก ฝ่ายชายดันนึกสนุกอะไรไม่รู้ ขยี้เค้กบนหน้าเธอแล้วยัดมันใส่ปากเธอแบบไม่ทันตั้งตัว ปรากฏว่าเค้กติดคอ และทำให้เธอสำลัก แม้แต่คนในทีมฉันที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นยังบอกเลยว่านั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่ๆ”“หนึ่งปีต่อมาฉันอ่านข่าวเจอว่าฝ่ายชายปลิดชีวิตภรรยาของเขาแล้วฆ่าตัวตายตาม” โจนส์เล่า “คนอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่เข้าท่าที่จะมองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เป็นเรื่องซีเรียสไปเสียหมด แต่บางครั้งความเลวร้ายที่เรานึกไม่ถึงก็อาจซ่อนอยู่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และความรุนแรงหลายๆ ครั้งก็เริ่มมาจากอะไรที่ดูไม่มีพิษมีภัยนั่นแหละ” &nbsp; &nbsp;ที่สุดแล้ววัฒนธรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นในงานแต่งงาน ไม่ว่าการปาเค้ก โปะเค้กใส่หน้า หรือแม้แต่การกล่าว Speech ถึงกันและกัน ย่อมต้องอาศัยการให้เกียรติ ให้คุณค่า และยินยอมพร้อมใจ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นการข่มเหง คุกคามร่างกาย จิตใจทางอ้อมที่ทำให้เราอาจต้องกลับมาทบทวน ‘Red Flag’ ของตัวเองกับคนที่เรากำลังจะใช้ชีวิตด้วยอีกครั้งก็เป็นได้&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.glamourmagazine.co.uk/article/wedding-cake-face-smash#intcid=_glamour-uk-right-rail_40afad30-baa0-4b19-82e2-e37f51d40772_popular4-1" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.glamourmagazine.co.uk/article/wedding-cake-face-smash#intcid=_glamour-uk-right-rail_40afad30-baa0-4b19-82e2-e37f51d40772_popular4-1</a><a href="https://slate.com/human-interest/2022/01/dear-prudence-wedding-stunt-goodbye.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://slate.com/human-interest/2022/01/dear-prudence-wedding-stunt-goodbye.html</a><a href="https://www.brainzmagazine.com/post/protest-behaviors-unhealthy-ways-we-try-to-win-back-love-attention" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.brainzmagazine.com/post/protest-behaviors-unhealthy-ways-we-try-to-win-back-love-attention</a><a href="https://online.ucpress.edu/gastronomica/article-abstract/5/2/69/46511/Wedding-Cake-A-Slice-of-History?redirectedFrom=fulltext" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://online.ucpress.edu/gastronomica/article-abstract/5/2/69/46511/Wedding-Cake-A-Slice-of-History?redirectedFrom=fulltext</a>

ไม่เพียงเป็นความสงสัยของเราเอง แต่แทบทุกครั้งที่มีการหยิบยกเรื่อง ‘Romantic Love’ มาพูดถึงในทางจิตวิทยา แม้แต่ตัวนักจิตวิทยาเองยังบอกเลยว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้แน่ชัดว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เรียกว่าความรักแบบโรแมนติกที่ว่านี้คืออะไร เพราะมันสามารถมีทั้งความปรารถนาทางเพศ และการดึงดูดทางอารมณ์ ปนจินตนาการแฟนตาซีเข้ามาเป็นส่วนผสมได้เหมือนกัน 

จะเดตอย่างไรถ้ายังติดภาพ ‘Romantic Fantasy’ ที่ทำให้ทัศนคติเรื่องความรักและความสัมพันธ์สวยงามเกินจริง 

“My clothes are pajamas, straight from the cold plunge” อีกหนึ่งท่อนที่คุ้นหูใครหลายคนจากเพลง Mantra ของ Jennie Kim ชวนให้เรานึกถึงไลฟ์สไตล์ของใครหลายคนโดยเฉพาะฝั่งตะวันตกที่เลือกจะดูแลตัวเองด้วย Cold Plunge หรือ ‘การแช่น้ำเย็นจัด’ เหมือนที่เจนนี่บอกเอาไว้ในเพลงว่าตอนกลางวันเธอจะสวมชุดพาจามาสบายๆ เพราะเพิ่งไปแช่น้ำเย็นมา นั่นก็เพื่อเตรียมร่างให้พร้อมสำหรับค่ำคืนอันสุดเหวี่ยงแบบสาวแอลเอชิคๆ

Cold Plunging like Jennie Kim! 
การแช่น้ำเย็นจัด เพื่อบูสต์อารมณ์และร่างกายกิจกรรมที่หลายคนหลงรัก รวมทั้งเจนนี่ คิม


หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์หลายตัว ถูกฝึกและได้รับการรับรองให้เป็น ‘สุนัขบำบัด’ ที่ทำงานควบคู่กับเจ้าของและนักบำบัด เพื่อปลอบประโลมใจผู้คนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากต่างๆ

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS