การเป็นมือที่สามไม่ได้ทิ่มแทงใจเราแค่ฝ่ายเดียวที่ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในสถานะตัวสำรอง แต่ยังทิ่มแทงใจคนรักตัวจริงที่เขาไม่สมควรจะเจ็บปวดกับเรื่องนี้ด้วยเลย ดังนั้น เมื่อเราอยากหยุด มันก็ย่อมต้องมีหนทางของมัน

ทำอย่างไรเมื่อเราเป็น ‘มือที่สาม’ แต่อยากหยุด เมื่อสถานะนี้ท็อกซิกทั้งกับเราและเขาอีกคน และการจบความสัมพันธ์อาจเวิร์กที่สุด

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นมือที่สามนั้นมักไม่เฮลตี้นัก ทั้งกับคนอื่นและตัวเราเอง และไม่ว่าเราจะมาอยู่ในสถานะนี้ด้วยเหตุผลกลใด ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเราอยากหยุด มันก็ย่อมต้องมีหนทางของมัน “หลายคนลงเอยในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงจุดนั้น หากคุณรู้สึกสูญเสีย รู้สึกผิด หรืออับอายหลังจากการเป็นผู้หญิงอีกคน (หรืออาจหมายถึงการเป็นผู้ชายอีกคนด้วย) ให้ลองประเมินก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้คุณเข้าไปอยู่ในสถานะนั้นได้” แอรอน ฮอร์น (Aaron Horn) นักบำบัดครอบครัวและการแต่งงานที่มีใบอนุญาต กล่าว ซึ่งการสำรวจตัวเองว่าอะไรทำให้ชีวิตเราเดินทางมาถึงการเป็นมือที่สาม และความรู้สึกตอนนี้ในการรู้แล้วว่าตัวเองเป็นมือที่สามนั้นมันโอเคจริงๆ หรือเปล่า อาจช่วยหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้ สำหรับคนที่รู้ตั้งแต่ต้นว่าตัวเองเป็นมือที่สาม และไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องเลิกกับแฟนคนอื่น ลอเรน เรย์โนลด์ (Lauren Reynolds) นักบำบัดครอบครัวและการแต่งงานที่มีใบอนุญาต บอกว่า เป็นเรื่องปกติที่พวกเขามีแนวโน้มอะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน รู้สึกเร่าร้อน ตื่นเต้น อย่างห้ามไม่ได้ และสามารถเป็นที่ถูกใจ และเร้าใจ ซึ่งยิ่งทำให้ขยายความรู้สึกโรแมนติกที่มีแต่เขาให้กว้างออกไปได้อีก (เพราะบางคนก็อาจจะชอบความรู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่นี้โดยไม่ทันได้ใส่ใจเรื่องศีลธรรม) แต่ไม่ใช่มือที่สามทุกคนจะรู้สึกแบบนี้ หรือบางคนเคยรู้สึกแบบนี้ตอนต้น แต่ผ่านไปไม่นานก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา และอยากแก้ไขสถานการณ์ก็มี ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาสำหรับคนที่คิดได้ว่าตัวเองมีความผิด เรย์โนลด์ ยกตัวอย่างว่า บางคนอาจรู้สึกผิดจากการเป็นมือที่สามทำให้คิดไปต่างๆ นานาว่า คนรักตัวจริงของเขาจะได้รับผลกระทบอย่างไร และจะรับมือความเจ็บปวดที่เจออย่างไร ซึ่งในที่นี้ เราว่ามันก็แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังมีความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และนั่นอาจทำให้คุณรู้สึกว่าต้องมูฟออนไปจากเขา ต่อมา การที่รับรู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในสถานะมือที่สาม จะยิ่งทำให้คุณเห็น<a href="https://mirrorthailand.com/tags/Toxic%20Relationship" rel="noopener noreferrer" target="_blank">ความท็อกซิกของความสัมพันธ์</a>ครั้งนี้ เช่น ในวันที่คุณมีวันแย่ๆ และต้องการคนรักที่ซัพพอร์ต คุณก็อาจไม่สามารถได้รับมันจากเขา ถ้าเขาอยู่กับแฟนตัวจริงในตอนนั้น ซึ่งมันจะโอเคจริงๆ หรือเปล่ากับการที่เราแชร์แฟนกับคนอื่น โดยที่ได้รับความรักไม่เท่ากัน อีกทั้งตัวฝ่ายแฟนตัวจริงก็ไม่ได้รับรู้หรือยินยอมกับการมีเรา อีกข้อที่เรย์โนลด์อธิบายไว้อย่างน่าสนใจคือ คุณไม่อาจเชื่อใจแฟนลับๆ ของคุณได้เท่าไรนัก ในช่วงแรกคุณอาจจะเชื่อหมดใจกับทุกคำที่เขาพูดเพื่อให้คุณรู้สึกว่าคุณเป็นที่ต้องการ เช่นเหมือนในละครไทย ที่เขาอาจจะบอกว่าเดี๋ยวจะเลิกกับคนนั้นแล้ว เพราะมีปัญหากัน ให้อดทนรออีกหน่อย ซึ่งพอเป็นในชีวิตจริง มันก็เป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะไว้ใจเขาได้ เพราะถ้าเขาเลือกจะโกหกคนของตัวเอง เพื่อแอบมีมือที่สามได้ เขาก็สามารถโกหกคุณได้เช่นเดียวกัน ข้อนี้อาจเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อาจทำให้คุณรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันไม่เฮลตี้เอาเสียเลย และการเป็นแฟนลับๆ อาจทำให้คุณไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังได้ เพราะอาจถูกคนรอบข้างตีตราจากการเป็นมือที่สาม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ตามมา ความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องปิดบังใคร สามารถแสดงออกทางความรักได้อย่างเปิดเผย โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ย่อมเฮลตี้กว่าความสัมพันธ์ที่กำลังทำลายชีวิตคนอื่น อาจไม่ใช่ทุกคนที่มองว่าการเลิกกับเขานั้นง่ายดาย บางคนเมื่อมารู้ทีหลังว่าเป็นมือที่สามในตอนที่ถลำลึกไปแล้ว มันจึงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เหมือนกับความสัมพันธ์ท็อกซิกรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถออกมาได้เลยทันที อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีความคิดที่จะออกจากความสัมพันธ์นั้น ก็นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี ที่คุณสามารถกลับมาเคารพตัวเอง พร้อมๆ กับเคารพคนอื่น ซึ่ง Regain แพลตฟอร์มบำบัดความสัมพันธ์โดยนักบำบัด ได้แนะนำฮาวทูสำหรับคนที่ต้องการออกจากสถานะการเป็นมือที่สามไว้คร่าวๆ ดังนี้ 1. คิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการในความสัมพันธ์ในอนาคต: พิจารณาว่าความสัมพันธ์ที่คุณกำลังมีประสบการณ์นั้นเป็นความสัมพันธ์เดียวที่คุณต้องการหรือไม่ การโน้ตไว้ว่าคุณสามารถมีความเป็นไปได้อื่นๆ สำหรับชีวิตรัก อาจช่วยให้คุณตัดสินใจอยู่ต่อ หรือออกจากความสัมพันธ์ หากคุณตอบตัวเองได้ว่าคุณกำลังรู้สึกไม่เป็นที่รัก ไม่ถูกเคารพ และไม่มีคุณค่าในความสัมพันธ์กับคนที่เขามีแฟนแล้ว นี่อาจเป็นสัญญาณว่ารักครั้งนี้ไม่เฮลตี้ ซึ่งหากคุณวาดอนาคตไว้ว่าอยากจะเจอกับความรักที่เขารักเราคนเดียว และสามารถใช้เวลาด้วยกันโดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เราอยากบอกว่า คุณมีค่ามากพอ และมีโอกาสที่จะเจอกับคนคนนั้นเข้าสักวัน แต่ถ้าคุณยังคบกับคนคนนี้อยู่ โอกาสนั้นอาจเกิดขึ้นช้า หรืออาจไม่เกิดเลยก็ได้ 2. พิจารณาศีลธรรมในตัวเอง:&nbsp;แน่นอนว่าการไปแอบคบ แอบกิ๊ก กับแฟนคนอื่นมันเป็นเรื่องผิดศีลธรรม ถ้าคุณยอมรับว่ามันผิด และคุณละอายกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันจะทำให้คุณรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ โดย Regain ได้แนะนำว่าให้ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ ฉันจะมีความสุขจริงไหม ถ้าเขาไม่คิดจะทิ้งคนรักของเขา? อะไรคือเป้าหมายระยะยาวของความสัมพันธ์ครั้งนี้? สิ่งที่ฉันทำมันเป็นเรื่องที่ผิดไหม? ฉันจะรู้สึกยังไงถ้าฉันเป็นคนรักคนนั้นของเขา? ฉันจะรู้สึกยังไงถ้าคนรักของเขารู้เรื่องนี้วันนี้? อะไรคือคุณค่าของฉันในความสัมพันธ์นี้? 3. เตือนตัวเองว่าคุณเป็นใคร:&nbsp;บางครั้งคุณอาจหลงลืมที่จะเห็นคุณค่าของตัวเองไป แต่สิ่งที่อยากให้ย้ำกับตัวเองคือ คุณสามารถให้อภัยตัวเองได้ แม้คุณจะเคยมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่น่าเสียใจ แต่ทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้ และมันจะไม่เป็นอะไรถ้าคุณได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้แล้ว เพราะคุณสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ 4. เลิกกับเขา: ทางที่ชัดที่สุดเพื่อให้เราหลุดพ้นจากการเป็นมือที่สาม สิ่งที่คุณควรทำคือตัดขาดกับเขาอย่างสิ้นเชิง ในบางครั้งคุณอาจจะถูกล่อลวงให้ยังคงติดต่อกับเขาอยู่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันจะทำให้คุณไม่สามารถมูฟออนได้จริงๆ คุณอาจจะต้องไตร่ตรองว่าก่อนหน้านี้อะไรที่เกิดขึ้นบ้าง และอะไรที่ทำให้คุณลงเอยเป็นมือที่สามของเขา เขาหลอกลวงคุณ? หรือเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมชักจูง? ถ้าคุณจำเหตุการณ์ที่คุณอาจโดนพ่นคำหวาน หรือการกระทำใดๆ ที่กินใจ แต่จะลากคุณเข้าไปสู่จุดเดิมได้ คุณก็อาจหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับสิ่งนั้นได้ และช่วยให้คุณเห็นใจตัวเองที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ดังเดิม ท้ายที่สุด การเป็นมือที่สามไม่ได้ทิ่มแทงใจเราแค่ฝ่ายเดียวที่ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในสถานะตัวสำรอง แต่ยังทิ่มแทงใจคนรักตัวจริงที่เขาไม่สมควรจะเจ็บปวดกับเรื่องนี้ด้วยเลย ดังนั้น อย่าลืมที่จะรักตัวเองมากพอที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์ที่เขามีคุณไว้เป็นคนในความลับ เพราะชีวิตรักที่ดีต่อใจ และไม่ทำร้ายใจตัวเองและผู้อื่น มันยังมีให้คุณตามหาอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าคุณจะกล้าหาญพอที่จะเดินออกไปตามหามันหรือเปล่า อ้างอิง: <a href="https://www.counselingreviews.com/blog/being-the-other-woman/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.counselingreviews.com/blog/being-the-other-woman/</a> <a href="https://www.regain.us/advice/infidelity/healing-from-being-the-other-woman/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.regain.us/advice/infidelity/healing-from-being-the-other-woman/</a>&nbsp;

แม้ในปัจจุบัน สังคมไทยจะมีการขับเคลื่อนและผลักดันประเด็นการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV มากขึ้น แต่หลายคนอาจยังมองข้ามความสำคัญของการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ด้วยเหตุนี้ แคมเปญ “สัปดาห์แห่งการตรวจสุขภาพสตรีแห่งชาติ ปีที่ 2” (National Women’s Check up Week) จึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นพื้นที่ที่ช่วยให้ผู้หญิงได้ปรับความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ และกลับมาดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

รวมประเด็นที่น่าสนใจและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ‘โรคมะเร็งปากมดลูก’ จากงานเสวนาของแคมเปญ “สัปดาห์แห่งการตรวจสุขภาพสตรีแห่งชาติ ปีที่ 2 National Women’s Check up Week”

จากการปะทะของทหารฝั่งไทยและกัมพูชาทำให้หลายคนรู้สึกสั่นสะเทือนทางจิตใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็คือความเกลียดชังที่มีต้นทางมาจากทั้งกระแสชาตินิยม และแปลงมาจากความโศกเศร้าต่อความสูญเสีย 

หากเราเศร้าที่มีผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิต สิ่งที่เราควรเกลียดชังก็คือ ‘สงคราม’ ไม่ใช่ผู้คน

คำตอบจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Barack Obama สำหรับพอดแคสต์รายการ IMO จากช่องของ Michelle Obama คือเขาคิดว่า ผู้ชายควรมีเพื่อนผู้ชายที่เป็น ‘เกย์’ บ้าง เพื่อให้เข้าใจถึงความหลากหลายของความเป็นชายที่ไม่ได้เป็นแค่แบบใดแบบหนึ่งอย่างที่ถูกปลูกฝังกันมา และตัวเขาเองก็เล่าว่า เพื่อนที่เป็นเกย์อาจมีส่วนทำให้ผู้ชายบางคนกล้าที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึก มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และใจดีมากขึ้น ถ้าได้เห็น role model ความเป็นชายหลากหลายแบบ

Barack Obama มองว่าผู้ชายควรมีเพื่อนที่เป็น ‘เกย์’ บ้าง จะได้เข้าใจถึงความหลากหลายของความเป็นชาย และตระหนักว่าผู้ชายสามารถเปิดเผยความรู้สึกที่เปราะบางได้

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS