คนที่เป็นเสรีนิยม กับ อนุรักษนิยม รักกันได้ เป็นแฟนกันได้ และบางคนก็ไปถึงขั้นแต่งงาน

ความเป็นไปได้ของคู่รักต่างขั้วการเมือง เสรีนิยม กับ อนุรักษนิยม จะตกหลุมรักกันได้ไหม?

เป็นไปได้-เฉลยตั้งแต่ต้นไปเลยละกัน ว่าคนที่เป็นเสรีนิยม กับ อนุรักษนิยม รักกันได้ เป็นแฟนกันได้ และบางคนก็ไปถึงขั้นแต่งงาน ใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันก็มี ซึ่งเราเชื่อว่า หลายคนอาจจะรู้สึกอี๋ หรือตั้งธงในใจไปก่อนแล้วว่า มันจะเป็นได้ไง ไม่ตีกันตายเหรอ ใช่ มันมีคนที่ตีกันตาย และเลิกกันไปเพราะความท็อกซิก แต่ยังมีอีกหลายคู่ที่คบกันไปตลอดรอดฝั่ง เมื่อเขาหรือเธอคนนั้น ติ๊กถูกทุกข้อทั้งนิสัยส่วนตัว หรือการดูแลเอาใจใส่ (ซึ่งอาจจะดีกว่าคนที่มีความเชื่อแบบเดียวกันด้วยซ้ำ) และสำหรับบางคนแล้ว ความดีรอบตัว หรือเสน่ห์อะไรก็แล้วแต่อาจมาเหนือกว่าทัศนคติทางการเมือง เราเพิ่งดูภาพยนตร์ Purple Hearts ใน Netflix เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักดนตรีสาวเฟมินิสต์ กับหนุ่มอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นทหาร ที่มาแต่งงานกันหลอกๆ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง (ไม่อยากสปอยล์ ไปดูเอาเอง) แต่ดันมารักกันจริง ตอนแรกเขาสองคนก็เถียงกันขั้นสุดในเรื่องความคิดที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ทำไมพอนอกเหนือจากบทสนทนาเรื่องการเมือง พวกเขาถึงมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน คุยสนุกในเรื่องชีวิตประจำวัน แถมยังดูจะเข้าใจกัน แบบที่พระเอกกำลังรู้สึกอะไร นางเอกก็รับรู้ได้ทันที แม้เราจะตงิดๆ ว่าทำไมผู้หญิงที่มีอุดมการณ์ชัดเจนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ถึงไปคบกับหนุ่มอนุรักษนิยมที่มีความคิดเหยียดเพศบางอย่าง และยังเชื่อว่าผู้หญิงต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ชาย แถมตัวหนังยังไม่พาไปถึงบทสรุปว่า พระเอกเข้าใจความคิดของนางเอกมากขึ้นไหม และน้ำหนักการทำความเข้าใจคนเห็นต่างยังตกไปอยู่ที่ฝั่งนางเอกมากกว่าพระเอก ถึงจะแย้งในใจ แต่เราก็เคารพการตัดสินใจของตัวละคร และมันทำให้เห็นว่า เออ ในชีวิตจริงคงมีคนเห็นต่างกันแบบนี้ แต่รักกันได้บ้างแหละ หนังเรื่องนี้เป็นเพียงมุมมองที่มีความโรแมนติไซซ์อยู่บ้าง แต่ถ้าเราถอยห่างออกมาดูความเป็นไปได้ที่คนที่เป็นเสรีนิยม กับ อนุรักษนิยม จะรักกันได้ มันก็ยังมีทางที่ทำได้จริง โดยที่ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจในความสัมพันธ์เท่าๆ กัน จากประสบการณ์จริงของ ดร.จีนน์ เซฟเฟอร์ (Dr. Jeanne Safer) นักจิตบำบัด และผู้เขียนหนังสือ I Love You, But I Hate Your Politics ที่แต่งงานกับนักข่าวอนุรักษนิยม ริชาร์ด บรูคไฮเซอร์ (Richard Brookhiser) มากว่า 40 ปี ซึ่งเชฟเฟอร์บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องเปิดเผยอุดมการณ์ให้กับอีกฝ่ายได้รู้ และครั้งแรกที่คู่นี้เจอกัน ฝ่ายริชาร์ดก็แนะนำตัวว่าทำงานที่นิตยสารอนุรักษนิยม National Review โดยเขาก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่า “เธอก็รู้ทันทีว่าผมเป็นคนหัวโบราณ” ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรักของทั้งคู่ในช่วงแรกมันไม่ง่าย แต่ทั้งคู่ก็จับมือกันมานานขนาดนี้เพราะมีบางอย่างเหมือนกัน แม้ความเห็นทางการเมืองจะไม่เหมือน และแน่นอน ทั้งคู่ต้องสร้างข้อตกลงเพื่อเป็นพื้นที่ตรงที่ทำให้ทุกฝ่ายสบายใจ ตัวอย่างเช่น กฎข้อแรกของเซฟเฟอร์คือ ไม่ดื่มไปด้วย พูดคุยเรื่องการเมืองไปด้วย เธอกล่าวว่า “อย่าดื่มเมื่อคุณมีการสนทนากันแบบที่คนส่วนใหญ่ทำ พวกเขาจะตะโกน และเมื่อคุณเริ่มตะโกน การสนทนาที่มีเหตุผลจะพังลง” ซึ่งเราเห็นด้วยกับเธอ เพราะการจะพูดคุยเรื่องการเมืองจริงๆ ก็ควรพูดกันขณะมีสติสัมปชัญญะ เมื่อมีแอลกอฮอล์มาเอี่ยวด้วย ความบาดหมางในใจ หรืออะไรที่ไม่เข้าหู อาจทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง และนำพาไปสู่การทำร้ายทั้งจิตใจ และร่างกาย ซึ่งความสัมพันธ์มีสิทธิพังสูง ถัดมาคือ การเคารพการเสพข่าวการเมืองซึ่งกันและกัน เซฟเฟอร์เล่าว่า “มีคู่สามีภรรยาที่แต่งงานมาหลายปี มาหาฉันเพราะพวกเขาพร้อมที่จะเลิกรากัน พวกเขาใส่ใจ และแคร์กัน ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันมากมาย อย่างไรก็ตาม ด้านสามีกลายเป็นอนุรักษนิยมหลังแต่งงาน แม้ว่าคุณจะแต่งงานกับคนที่มีแนวคิดทางการเมืองแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นแบบนั้นในอีกหลายปีต่อมา” ดังนั้น ไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่า ความคิดของแฟนเรามันจะเหมือนเดิมไปได้ตลอด เซฟเฟอร์เลยแนะนำว่า ถ้าเรามีการเคารพเรื่องการเสพมุมมองการเมืองที่ต่างกันว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งต้องการดูโทรทัศน์ช่องที่เป็นอนุรักษนิยม ส่วนเราอยากดูอีกช่องที่เป็นประชาธิปไตย หูฟังคือคำตอบ แยกกันดูไปเลย เพราะสุดท้ายไม่ว่าคุณจะอยู่กับคนแบบไหน "คู่รักทุกคู่ แม้ว่าจะมีแนวคิดทางการเมืองเหมือนกัน ยังไงคุณก็จะมีความแตกต่างพื้นฐานมากมายอยู่ดี เพราะคุณเป็นคนละคนกัน" มันก็อยู่ที่ว่าเราจะรับเขาได้แค่ไหนมากกว่า และเราอาจจะไม่ตกใจมาก ถ้าเราได้เตรียมใจไว้แล้วว่า ระหว่างที่คบกัน เขาอาจจะเริ่มเปิดดูโทรทัศน์ช่องที่เราไม่ชอบ และที่สำคัญอีกอย่างเลยคือ อย่าคิดจะเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่าย เราเชื่อว่ามีคู่รักหลายคู่ เชื่ออยู่เต็มอกว่า ฉันสามารถเปลี่ยนให้คนนี้กลับมารักประชาธิปไตยได้แน่นอน ซึ่งความจริงมันไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย เพราะระดับการรับรู้เรื่องสถานการณ์ทางสังคม หรือสิ่งที่ผู้คนถูกปลูกฝังกันมานั้นต่างกัน ถ้าคุณยืนยันที่จะไปต่อกับความรักที่ทัศนคติด้านการเมืองต่างกัน เซฟเฟอร์คิดว่า “สิ่งที่เราควรรู้มีสองระดับที่แตกต่างกัน หนึ่งคือการสนทนายังไงให้ไม่กลายเป็นการต่อสู้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดสิ่งนี้คือการไปเปลี่ยนความคิดกัน เพราะคนส่วนใหญ่รู้สึกเต็มที่ และมีแพสชันมากกับการที่เราควรจะเปลี่ยนความคิดของแฟนให้คล้อยตามเรา” ซึ่งขืนทำแบบนี้ต่อไปเธอบอกว่า จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่พังลง ดังนั้น ถ้าจะรักกัน ก็ต้องเคารพความคิดของกันและกัน ยากไหม? สารภาพว่า ขณะเขียนบทความนี้อยู่ ก็เผลอถอนหายใจออกมาถึงความยากเย็น และต้องใจกว้างพอสมควร ซึ่งถ้าคุณทำไม่ได้ หรือทนไม่ได้กับคนรักต่างอุดมการณ์ เราขอบอกตรงๆ เลยว่า ไม่ต้องทน ตัวคุณนั้นสำคัญที่สุด แคทเทอรีน เฮิร์ทลิน (Katherine M. Hertlein) ศาสตราจารย์ด้านการบำบัดคู่รัก และครอบครัว ชวนคิดว่า “คู่ของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ คุณสามารถอยู่ในความสัมพันธ์ที่รู้อยู่แล้วว่ามันจะไม่เปลี่ยน และจะดำเนินต่อไปแบบยากๆ ได้ไหม? บางครั้งผู้คนอาจตัดสินใจที่จะอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องยอมรับความทุกข์ในสถานการณ์นั้นๆ ให้ได้ และทำความเข้าใจว่าคุณกำลังตัดสินใจโดยที่คนคนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง” เราคิดว่าถ้าหาตรงกลางของความสัมพันธ์ หรือสร้างกฎเกณฑ์อะไรขึ้นมา เพื่อประคองความสัมพันธ์ มันก็พอจะเป็นไปได้ในบางคู่ แต่หากพิจารณาดูแล้ว ‘การเมือง’ เป็นส่วนหนึ่งที่กระทบความสุขในชีวิตคู่ของคุณแอนนิต้า ชลิปาลา (Anita A. Chlipala) นักบำบัด กล่าวว่า ถ้าท้ายที่สุด เจรจาต่อรองก็แล้ว หาตรงกลางก็แล้ว แต่ความสัมพันธ์ยังสั่นสะเทือนอยู่ ทางเดียวที่เหลืออยู่คือพิจารณาถึงการเลิกรา “บางครั้งผู้คนสามารถย่อขนาด หรือซ่อนสิ่งที่ต้องการจริงๆ เพราะไม่อยากเสียความสัมพันธ์ไป แต่สิ่งสำคัญคือคนที่คุณออกเดตด้วยควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณ แม้ว่ามันจะหมายถึงจุดยืนของคุณทำให้เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้นก็ตาม” ชลิปาลา กล่าว อึดอัดให้บอก ไม่ชอบให้พูด ปรับจูนแล้วไปต่อไม่ได้ให้หยุด จริงๆ มันคือเรื่องเบสิกในความสัมพันธ์ที่เราไม่ควรสูญเสียความเป็นตัวเอง หรือกล้ำกลืนฝืนทนกับความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ หากความเห็นต่างทางการเมืองไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง และความรักของคุณราบรื่น ตัวเขามีมุมที่เราชอบชนะสิ่งที่เราไม่ชอบ และทุกข้อมันเหนือความต่างทางความคิด การคบกันไปก็ไม่ได้ผิด และเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่หากเรื่องนี้เป็นปัญหาหนักใจที่ทำให้คุณต้องเก็บมาเครียด หรือเศร้ามากจนเกินไป นั่นก็แปลว่ามันไม่เวิร์กสำหรับคุณ สมการความรักไม่มีสูตรตายตัว บางคนคบคนอุดมการณ์เดียวกัน อาจจะทุกข์ใจทุกวัน แต่พอไปคบกับคนต่างอุดมการณ์ อาจพบความสุขก็ได้ เช่นเดียวกับ การที่คบคนต่างอุดมการณ์ ก็อาจจะท็อกซิกหนักกว่าเดิม ทั้งหมดอยู่ที่คุณควรจะได้เจอคนที่แมตช์กับคุณ และเราขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังตามหาความรัก เจอคนที่ใช่ สำหรับคุณไวๆ นะ อ้างอิง: <a href="https://www.theknot.com/content/political-views-partner" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.theknot.com/content/political-views-partner</a> <a href="https://www.today.com/health/how-deal-when-you-your-partner-are-political-opposites-t192617" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.today.com/health/how-deal-when-you-your-partner-are-political-opposites-t192617</a> <a href="https://www.verywellmind.com/coping-with-political-differences-in-your-romantic-relationship-5194382" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.verywellmind.com/coping-with-political-differences-in-your-romantic-relationship-5194382</a> &nbsp;

Pocahontas ก็เป็นหนึ่งในการ์ตูนดิสนีย์เพียงไม่กี่เรื่องที่โชคร้ายหน่อยตรงที่ว่ามันเต็มไปด้วยประเด็นเปราะบางซึ่งอาจทำให้แฟนๆ ไม่น่าจะได้เห็นมันในเวอร์ชั่นคนแสดงในเร็วๆ นี้ก็จริง แต่อยู่ๆ เพลงซาวด์แทร็กอย่าง Colors of the Wind จากการ์ตูนเรื่องนี้ที่ฉายครั้งแรกเมื่อปี 1995 ก็กลับกลายเป็นเพลงการ์ตูนดิสนีย์ที่คนรุ่นใหม่หลายคนบอกว่าพวกเขา ‘อิน’ กับมันอย่างไม่น่าเชื่อ! 

Colors of the Wind เพลงจากการ์ตูน Pocahontas อายุ 30 ปีที่อยู่ๆ ก็โดนใจคนเจนฯ Z เพราะมันอาจพูดถึงสถานการณ์โลกและผู้คนยุคนี้ได้อย่างร่วมสมัย 

‘Freakier Friday ศุกร์สยองสี่ร่างสลับรุ่น’ คือหนังภาคต่อของ Freaky Friday หนังตลกร้ายครอบครัวที่ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2003 ซึ่งล่าสุดมันได้กลับมาพร้อมลูกหลานตัวละครใหม่ๆ อีกมากมายที่การันตีเลยว่าจะทวีความอลเวงให้สนุกยิ่งขึ้น

22 ปี Freakier Friday หนังตลกร้ายในตำนานกับการเล่าเรื่องครอบครัวยุคใหม่
ที่ยำรวมมิตรความชุลมุนของคนเจนฯ Baby Bloomer, Gen X, Millenials และ Gen Z ได้อย่างกลมกล่อม

ทำความรู้จักกับผู้เข้าร่วมบางส่วนในรายการ ‘Better Late Than Single’ ซึ่งมีความกล้าและความพยายามที่จะออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง เพื่อมีแฟนครั้งแรกในชีวิต เพราะพวกเขาไม่ใช่แค่ ‘โสดด้วยความสามารถ’ แต่ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังตัวตน เหตุผลส่วนตัว และปัญหาที่ค้างคาในใจ

ไม่ใช่แค่โสดด้วยความสามารถ… ชวนดูสารพัดเหตุผลที่ทำให้บางคนไม่อาจเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคนได้เสียที จาก ‘Better Late Than Single’ รายการเรียลลิตี้เดตรวมคนโสดที่ไม่เคยมีแฟนตลอดชีวิต

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

ความเป็นไปได้ของคู่รักต่างขั้วการเมือง เสรีนิยม กับ อนุรักษนิยม จะตกหลุมรักกันได้ไหม?

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS