Pet Names ฉายาเรียกคนพิเศษที่เป็นเหมือนการบอกรัก โดยไม่มีคำว่ารัก

“ไปกันเถอะ เจ้าลูกหมา” การเรียกแฟนด้วย 'Pet Names' ภาษากระชับรักให้ผูกพันกันกว่าเดิม

แมวน้อย หมีอ้วน ไอ้หมู รวมถึง “เจ้าลูกหมา” คำที่ พสจีอา หรือ ซงจีอา (Song Ji-a)&nbsp;บิวตี้บล็อกเกอร์ และผู้เข้าร่วมรายการ 'Single's Inferno' เดตติ้งวาไรตี้บนเกาะนรก ซึ่งจับคู่หนุ่มโสด สาวโสด ชาวเกาหลีใต้มาออกเดต ใช้พูดกับไอ้เจ้าลูกหมาริมทะเล ผู้ชายที่แสนดีกับเธอมาตลอด (เพื่อไม่เป็นการสปอยล์ ไปตามดูกันได้ใน Netflix นะ) เหล่านี้ล้วนเป็น Pet Names หรือ ฉายาเรียกคนพิเศษอะไรก็ได้ที่หลายคู่ใช้เรียกแทนกัน โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะชื่อสัตว์น่ารักอย่างเดียว แต่หลักๆ คือชื่อที่เรารู้กันสองคน และเรียกกันเวลาอยู่ด้วยกันสองคนนั่นแหละ นอกจากความน่ารักที่ลอยฟุ้งอยู่ในชื่อเรียก มันยังเป็นภาษารัก ที่ไม่มีคำว่ารัก แต่เป็นสัญญาณที่ทำให้คู่ของคุณ และตัวคุณเองสบายใจ วางใจ รู้สึกสนิท และพิเศษ กับคนตรงหน้ามากขึ้นกว่าเดิม อ่านแล้วอาจจะรู้สึกเคอะเขินกันบ้างสำหรับคนที่ไม่ได้งุ้งงิ้งกับคุณแฟนเป็นปกติ แต่ถ้าอยากลองใช้ Pet Names เรียกแฟน เพื่อเพิ่มความน่ารักน่าหยิกก็ไม่เสียหายนะ เพราะ เอมี่ ฮาร์ทสไตน์ (Aimee Hartstein) นักบำบัดด้านความสัมพันธ์ เล่าว่า การเรียกแฟนด้วยชื่อพิเศษที่ใช้สำหรับกันและกัน ช่วยเชื่อมสายสัมพันธ์พิเศษระหว่างคนสองคน และเมื่อมันกลายเป็นชวเลข (Shorthand) สัญลักษณ์ส่วนตัวที่มีแค่บางคนเข้าใจ จะทำให้เวลาคู่รักใช้คำเหล่านั้นพร้อมกับแชร์เรื่องราวร่วมกัน หรือพูดเรื่องฮาๆ กัน ขำมากกว่าเดิม ใกล้ชิดมากกว่าเดิม ผูกพันกันมากกว่าเดิม (กรี๊ด โรแมนติก) “Pet Names สามารถเป็นตัวทำลายความอึดอัดระหว่างการทะเลาะกันได้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะหากคู่แฟนอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ได้ยินชื่อสัตว์เลี้ยงของตัวเอง จะย้ำเตือนถึงความรัก และความห่วงใยที่พวกเขาเคยแบ่งปันกัน” เอมี่กล่าว จริงๆ พอมีงานวิจัยที่หยิบมายืนยันประโยชน์ของ Pet Names ได้บ้าง เราขอยกตัวอย่างงานวิจัยจาก Superdrug Online Doctor บริการสุขภาพดิจิทัลของสหราชอาณาจักร ที่สำรวจชาวอเมริกัน และชาวยุโรปในสัดส่วนเท่าๆ กัน อายุระหว่าง 20 ถึง 71 ปี พบว่า 3 ใน 4 ของคนยุโรปใช้ Pet Names กันเป็นปกติ และมีคนอเมริกันถึง 87 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ Pet Names ในความสัมพันธ์ ซึ่งคู่รักชาวอเมริกันที่ลองใช้รู้สึกพอใจในความสัมพันธ์มากขึ้นกว่าตอนไม่ได้ใช้ 16 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ชาวยุโรปพอใจขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ ความตลกอยู่ที่ว่า แม้พวกเขาจะเลิกกับแฟนไป ก็มีแนวโน้มที่เขาจะใช้ Pet Names เดิมกับแฟนใหม่ด้วย! เหตุผลคือพวกเขารู้สึกสบายใจ และเป็นเหมือน Comfort Zone กับคำนั้นๆ ไปแล้ว โดยผู้ชาย 40 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิง 36 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าการรีไซเคิลชื่อเรียกจากความสัมพันธ์หนึ่งไปอีกความสัมพันธ์หนึ่ง มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสนิทสนมมากขึ้น ดูเหมือนตอนนี้เราจะเห็นประโยชน์ของ Pet Names ซะส่วนใหญ่ แต่จริงๆ แล้วข้อเสียก็มีเหมือนกันนะ เพราะ “ครั้งเดียวที่การใช้ Pet Names กลายเป็นความหมายลบนั้น เกิดจากการที่คำๆ นั้นเป็นคำวิจารณ์ หรือคำที่ใจร้าย แฟนของคุณอาจพูดว่าล้อเล่นน่า แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะโอเคกับมุกตลกแบบนั้นหรอก ในเคสนี้ การใช้ชื่อที่เหมาะสมจะมอบความอบอุ่น และทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากกว่า” เอมี่แนะนำ ซูซานน์ เดกเกส-ไวท์ (Suzanne Degges-White) นักจิตวิทยา และศาสตราจารย์จาก Northern Illinois University ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้หญิง และพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้หญิง บอกว่า เมื่อเวลาผ่านไป จาก Pet Names อาจพัฒนาคำศัพท์ไปสู่ท่าทาง และการแสดงออกทางสีหน้า โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดในการสื่อสาร แค่กลอกตา ยิ้มเยาะ การหาวฝืนๆ หรือจ้องมองบางอย่าง ก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นี่แหละหนอ พลังของภาษารัก ที่สำหรับหลายคู่นั้นนับว่ามองตาก็รู้ใจ ตบไหล่ก็รู้กัน ใครใช้ Pet Names น่ารักๆ กับแฟน แล้วความสัมพันธ์ดีขึ้น หรือแย่ลง มาแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังได้นะ ส่วนตอนนี้เราขอตัวไปหา “เจ้าลูกหมา” ของเราก่อนละกัน โฮ่งๆ อ้างอิง : <a href="https://www.bustle.com/articles/177307-are-pet-names-in-relationships-a-good-idea-they-could-help-you-resolve-a-fight" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bustle.com/articles/177307-are-pet-names-in-relationships-a-good-idea-they-could-help-you-resolve-a-fight</a>&nbsp; <a href="https://www.bustle.com/p/pet-names-can-improve-your-relationship-a-new-survey-finds-13235589" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bustle.com/p/pet-names-can-improve-your-relationship-a-new-survey-finds-13235589</a>&nbsp; <a href="https://onlinedoctor.superdrug.com/thats-not-my-name/?utm_source=affiliatewindow&utm_campaign=Skimlinks&utm_medium=affiliate&utm_term=100028X1555662Xe90b30214afe59aeb7c72f52880dbf04&utm_content=0&awc=2026_1543496211_c9370b23041fb5022c3003ad8f5dfa31" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://onlinedoctor.superdrug.com/thats-not-my-name/?utm_source=affiliatewindow&amp;utm_campaign=Skimlinks&amp;utm_medium=affiliate&amp;utm_term=100028X1555662Xe90b30214afe59aeb7c72f52880dbf04&amp;utm_content=0&amp;awc=2026_1543496211_c9370b23041fb5022c3003ad8f5dfa31</a> <a href="https://www.psychologytoday.com/intl/blog/lifetime-connections/201603/pet-names-between-couples-are-very-good-sign" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/intl/blog/lifetime-connections/201603/pet-names-between-couples-are-very-good-sign</a> &nbsp;

นี่คือคอมเมนต์ (บางส่วน) จากบรรดาชาวโซเชียลฯ ที่วิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนหลังจากการกลับมาของซีรีส์แนวหลังโลกล่มสลาย The Last of Us ในซีซั่นล่าสุดที่เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของตัวละครหลัก กลับถูกมองว่า ภายใต้เรื่องราวความรักโรแมนติกหลังโลกล่มสลาย และการโอบรับความหลากหลายท่ามกลางความขัดแย้งเหล่านั้น อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการ ‘โรแมนติไซส์’ ความจริงอันโหดร้ายที่ถูกปัดไว้ใต้พรม

Pride in Genocide? เมื่อซีรีส์ The Last of Us ถูกวิจารณ์ว่าเป็น ‘Rainbow Washing’ การใช้ความโรแมนติกของความหลากหลาย มากลบทับความเกลียดชังปาเลสสไตน์ของผู้สร้าง

เรื่องราวของเด็กชายวัย 13 ที่ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมเพื่อนเด็กผู้หญิงโรงเรียนเดียวกันอย่างโหดเหี้ยมใน Adolescence ลิมิเต็ดซีรีส์อังกฤษที่ฉายทาง Netflix และกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกเมื่อช่วงที่ผ่านมาไม่ได้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ ‘ไม่ไกล’ เกินความเป็นจริงเลย เพราะเหตุอาชญากรรมและการทำร้ายร่างกายด้วยการแทงด้วยของมีคมในสหราชอาณาจักรนั้นพบว่ามีสถิติพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ 

Smartphone Free Chilhood แคมเปญของกลุ่มผู้ปกครองในอังกฤษที่เรียกร้องให้เด็กใช้สมาร์ทโฟนหลังอายุ 14-16 ขึ้นไป เพื่อปกป้องเด็กๆ จากอันตรายของคอนเทนต์ที่บ่มเพาะความรุนแรง

“เธอโยกอยู่ในฟลอร์ ซ้าย ขวา ซ้าย เธออยากโดน ‘เซ็ตหย่อ’ หันหลังมา” ท่อนไวรัลที่เต้นกันม่วนๆ กับเพลง ‘CHI MI’ จาก YOUNGGU ฟีเจอริ่งกับ GUNNER ที่ฟังผ่านๆ ก็ดูเป็นเพลงจังหวะสนุก แต่ปัญหาที่น่าพูดถึงไม่น้อยคือการที่มี ‘ภาษาคุก’ ปรากฏอยู่อย่างคำว่า ‘เซ็ตหย่อ’ ซึ่งแฝงไปด้วยความรุนแรงทางเพศที่ LGBTQ+ รวมถึงผู้ชายในคุกต้องเผชิญ

คนทั่วไปอาจขำๆ แต่คนเคยโดนอาจไม่ตลก เมื่อ “เซ็ตหย่อ” / “หนมน้า” ภาษาคุกที่แฝงด้วยความรุนแรงทางเพศ ยังถูกใช้อย่างสนุกปาก แถมปรากฏในเพลงไวรัลที่เด็กๆ ก็ร้องกัน

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Relationship

“ไปกันเถอะ เจ้าลูกหมา” การเรียกแฟนด้วย 'Pet Names' ภาษากระชับรักให้ผูกพันกันกว่าเดิม

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS