“คนชนะจะไม่มีวันยอมแพ้ คนยอมแพ้จะไม่มีวันชนะ” คงเป็นคำปลุกใจที่ทำให้เราไปถึงฝั่งฝัน หรืออาจจะเป็นคำที่ไว้เตือนใจให้เราต้องอดทนกับอะไรบางอย่าง

เมื่อมองไม่เห็นปลายทางควร ‘ฝืน’ ทำต่อไปหรือ ‘ถอย’ ออกมา หากเกิดภาวะหมดใจ ‘การยอมแพ้’ ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ แต่คือทักษะในการจัดการชีวิต และเลือกทางที่ใช่สำหรับตัวเอง

“คนชนะจะไม่มีวันยอมแพ้ คนยอมแพ้จะไม่มีวันชนะ” คงเป็นคำปลุกใจที่ทำให้เราไปถึงฝั่งฝัน หรืออาจจะเป็นคำที่ไว้เตือนใจให้เราต้องอดทนกับอะไรบางอย่าง แต่การอดทนฝืนทำต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือความสัมพันธ์ที่กำลังทำให้เจ็บปวด เหนื่อยล้า หรือหมดใจ โดยไม่มีทางออกที่ดีขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ บางที ‘การยอมแพ้’ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า อาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล หรือมีประโยชน์กับชีวิตและจิตใจ มากกว่าการถูกตีตราว่าเป็นคน ‘ล้มเหลว’ และยังเป็นเหมือนสัญญาณว่าสิ่งเหล่านี้ที่ทำอยู่อาจจะไม่ใช่ทางของเรา หรือเป้าหมายที่เราต้องการจริงๆ และการยอมแพ้ก็คือการยอมรับความจริง เพื่อนำไปสู่ทิศทางใหม่ ในการหาเป้าหมายใหม่ที่ใช่กว่าเดิมได้เช่นเดียวกัน “การยอมแพ้ ความจริงมันไม่เป็นไรเลย ดีต่อสุขภาพจิตด้วยซ้ำ” อดัม ฟิลลิปส์ (Adam Phillips) นักจิตวิเคราะห์ และผู้แต่งหนังสือ On Giving Up ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่ามีหลายคนชอบพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องการยอมแพ้หรือการละทิ้งบางสิ่ง เขากล่าวว่าความคิดเรื่องนี้มีสองด้าน นี่เป็นเรื่องทางจิตวิทยา แต่ในอีกแง่ มันก็เกี่ยวข้องกับบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งด้วย&nbsp; “เรามักให้ความสำคัญ และแม้กระทั่งยกย่องความคิดเรื่องการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ มากกว่าการละทิ้งมัน” ฟิลลิปส์กล่าวในหนังสือ “การยอมแพ้ต้องมีเหตุผลรองรับ ต่างจากการทำจนสำเร็จ… นั่นทำให้การยอมแพ้มักจะถูกมองว่าเป็นความล้มเหลว มากกว่าที่จะมองว่ามันอาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในแบบอื่นๆ ได้เหมือนกัน” บทความหนึ่งของคณะจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยในมินนิโซตาอย่าง Walden University ระบุว่า วิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับจิตใจที่ท้อถอย คือการประเมินสิ่งที่เราเสียไปแล้ว และสิ่งที่จะต้องเสียต่อไปในอนาคต ให้เปรียบเทียบเอนเนอร์จี้ของเราเหมือนกับเงินลงทุน ว่าคุ้มค่าที่จะทำต่อไหม และหากอยากเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ลองลิตส์ข้อดีกับข้อเสียของการทำสิ่งนี้ ก็จะช่วยชี้ให้เราเห็นถึงโอกาสที่อาจพลาดไป หากยังเลือกไม่ยอมแพ้และเดินหน้าต่อ รวมถึงความเป็นไปได้ในช่องทางอื่นๆ หากเราตัดสินใจเดินจากมา และนำพลังของเราไปใช้กับสิ่งอื่น การเปลี่ยนจากคำว่า ‘ไม่ยอมแพ้’ ค่านิยมที่ถูกย้ำซ้ำๆ ในสังคมอยู่ตลอดเวลา มาเป็นคำว่า ‘รู้ว่าเมื่อไรควรจะถอย’ ออกจากสิ่งที่ไม่ได้ประโยชน์กับเรานั้นต้องอาศัยความคิดความอ่านอย่างรอบคอบ และต้องซื่อสัตย์ต่อใจตัวเอง ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะเดินออกจากสิ่งที่เราทุ่มเทแรงกายและเวลาไปอย่างมากมาย แต่หากตัดสินใจได้แล้วว่าการถอยออกมาคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ก็ให้ใส่ความมั่นใจเข้าไป ไม่แน่ เราอาจจะพบว่า ความสามารถในการรู้ว่าเมื่อไรควรล้มเลิกหรือถอยออกมา ก็อาจเป็น ‘จุดแข็ง’ ของตัวเราเอง และมันไม่ใช่ ‘ความอ่อนแอ’&nbsp; แน่นอนว่าการตัดสินใจยุติโครงการ หรือความสัมพันธ์ใดๆ ย่อมเป็น ‘การสูญเสีย’ ที่อาจต้องให้เวลากับตัวเองได้โศกเศร้าและทำใจกับมัน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องลองถามตัวเองใหม่ด้วยว่า สิ่งนี้มันคือความล้มเหลวจริงหรือ? หากสุดท้ายแล้วมันพาเราไปข้างหน้า หากคำตอบคือ ‘ไม่ใช่’ ตรงกันข้าม มันคือการเปิดหน้าใหม่ในชีวิต นั่นเองที่มันอาจเป็นการจัดวางตัวเราให้อยู่บนเส้นทางที่พร้อมสำหรับความสำเร็จในอนาคตมากกว่าเดิม และแน่นอนว่าการถอยห่างออกมา อาจสร้างพื้นที่ให้เราได้หายใจได้คล่องมากขึ้น สามารถทบทวนว่าอะไรที่ผิดพลาดไป พร้อมเปิดโอกาสให้เราค้นพบว่าสามารถทำอะไรแตกต่างออกไปได้อีกบ้างในอนาคต ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาสำเร็จมากหรือน้อยเพียงใด เราก็จะได้รับประสบการณ์และความรู้ที่มีค่าอยู่ดี ที่สำคัญที่สุดคือ การได้เรียนรู้ว่าเมื่อไรควรจะถอยออกมานั่นเอง&nbsp; ที่สุดแล้วการยอมแพ้อาจไม่ได้หมายถึงความพ่ายแพ้เสมอไป เมื่อนำเหตุและผลมาตัดสินใจว่า ทำไมเราถึงไม่ควรไปต่อ แต่ในทางกลับกัน หากการยอมแพ้เกิดขึ้นเพราะความกลัว ความหวาดระแวง หรือการจินตนาการถึงปัญหาที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง มันก็อาจกลายเป็นกับดักทางความคิดที่ฉุดรั้งไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้าได้เหมือนกัน ความแตกต่างของการยอมแพ้จึงขึ้นอยู่กับเจตนาว่าเราจะถอยไปเพื่ออะไร ถอยเพราะประเมินแล้วว่าไม่คุ้มค่า ไม่มีอนาคต หรือถอยเพียงเพราะหวาดกลัวความล้มเหลว เมื่อเรารู้ว่าถอยไปทำไม และเมื่อไหร่ควรถอย… นั่นอาจเป็นหนึ่งในชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็นได้ อ้างอิง<a href="https://www.waldenu.edu/online-bachelors-programs/bs-in-psychology/resource/the-psychology-behind-giving-up" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.waldenu.edu/online-bachelors-programs/bs-in-psychology/resource/the-psychology-behind-giving-up</a>&nbsp;<a href="https://edition.cnn.com/2024/04/02/health/giving-things-up-healthy-explained-wellness-cec" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://edition.cnn.com/2024/04/02/health/giving-things-up-healthy-explained-wellness-cec</a>&nbsp;

ท่ามกลางความคาดหวังมากมายที่เหล่าคุณแม่กำลังแบกรับอยู่ เราจึงอยากชวนแม่มาพูดคุยกันในฐานะ ‘ลูกสาว’ พร้อมทำความเข้าใจเส้นทางชีวิตก่อนก้าวสู่การเป็นแม่ ผ่านมุมมองของนักจิตวิทยา เพราะการเป็น ‘ลูกสาว’ คือส่วนสำคัญของตัวตน และช่วงเวลาที่มีค่าในชีวิต

เพราะแม่ก็เคยเป็นลูกสาวมาก่อน ชวนย้อนมองชีวิตก่อนก้าวสู่การเป็นแม่คน ซึ่งอาจเคยได้รับทั้งมรดกชีวิตอันล้ำค่า และบาดแผลทางใจที่ต้องรักษา

ทางเลือกอย่างถุงยางอนามัยและการทำหมัน ยังคงเป็นทางเลือกในการคุมกำเนิดของผู้ชายที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน แต่ล่าสุดยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายชนิดเม็ดแบบไร้ฮอร์โมน ชื่อ YCT-529 ซึ่งผ่านการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย อาจกลายเป็นความหวังที่เข้าใกล้การคุมกำเนิดผู้ชายและช่วยให้เราสามารถวางแผนครอบครัวได้ดีขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป 

YCT-529 ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย
ผ่านการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 เป็นที่เรียบร้อย และอาจเป็นความหวังใหม่ของการคุมกำเนิดอย่างเท่าเทียมในอนาคต  

จากผลิตภัณฑ์เสริมความงาม จนถึงเสื้อผ้าแฟชั่น และของแต่งบ้านสุดเก๋ ตอนนี้ Harry Styles เริ่มต้นเจาะตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาวะทางเพศด้วยสองไอเท็มล่าสุดกับไลน์ Pleasing Yourself ไวเบรเตอร์สองหัว และเจลหล่อลื่นซิลิโคนพรีเมียม ที่ร่วมพัฒนากับนักเพศวิทยา Zoe Ligon กับความตั้งใจให้คนสร้างความสุขด้วยตัวเอง โดยไม่ตัดสินและไม่รู้สึกผิด ภายใต้สโลแกน ‘Please Yourself Like You Mean It'  หรือ 'โปรดมอบความสุขให้ตัวเองอย่างตั้งใจ'

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

Plair Bunlangkarn

RELATED

HOT TOPICS