เราเริ่มได้ยินคนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงานพูดคล้ายๆ กันมากขึ้นว่า พวกเขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจ หมดความสนใจ ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่การบ่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘ภาวะหมดไฟ’ (Burnout) ซึ่งกำลังค่อยๆ คืบคลานมาสู่คนทำงานเจนฯ Z อย่างน่าเป็นห่วง  

ชวนมอง 3 ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานเจนฯ Z 
เผชิญภาวะ Burnout เร็วกว่าคนเจนฯ อื่น

เราเริ่มได้ยินคนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงานพูดคล้ายๆ กันมากขึ้นว่า พวกเขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจ หมดความสนใจ และไม่มีแม้แต่สมาธิที่จะโฟกัสอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ราวกับมีหมอกมัวๆ อยู่ในหัวที่ทำให้คิดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่การบ่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีสาเหตุ เมื่องานวิจัยหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่านั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘ภาวะหมดไฟ’ (Burnout) ซึ่งกำลังค่อยๆ คืบคลานมาสู่คนทำงานเจนฯ Z อย่างน่าเป็นห่วง &nbsp;ผลสำรวจเมื่อปี 2022 จาก Cigna Surway พบว่ากว่า 91% ของคนทำงานที่อยู่ในวัยเจนฯ Z กำลังเผชิญกับภาวะความเครียดที่สูงลิบ และกว่า 98% ก็มีสัญญาณของภาวะ ‘หมดไฟ’ ที่กำลังกัดกินพวกเขา ‘เร็ว’ กว่าคนเจนฯ ก่อนหน้านี้ด้วยMark Travers นักจิตวิทยา ได้ตั้งข้อสังเกตผ่านบทความบนเว็บไซต์ Forbes ถึงเหตุผลที่ว่าทำไมคนเจนฯ Z ถึงเจอภาวะหมดไฟเร็วกว่าเจนฯ ก่อนหน้า นั่นอาจเป็นเพราะคนเจนฯ Z ก้าวพ้นวัยมาสู่วัยทำงานในวันที่โลกทุกวันนี้เองก็ไม่เคยช้าลงหรืออนุญาตให้ใครได้หยุดพักสักวินาทีเลย ความกดดันและความเครียดจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่พักเช่นกัน ซึ่งนอกจากการเอาตัวรอดในสังคม และชีวิตส่วนตัวของตัวเองที่โหดมากพอแล้ว โลกของการทำงานยังเรียกร้องอะไรอีกมากมายจากคนทำงานรุ่นใหม่ไม่น้อยไปกว่ากันด้วย ท่ามกลางวัฒนธรรมที่พยายามบอกว่ายิ่งใคร Productive และ Hustle มากเท่าไรยิ่งดี ยิ่งประสบความสำเร็จเร็ว หรือยิ่งอายุน้อยร้อยล้านได้เท่าไรได้ยิ่งเก่ง&nbsp;แต่ผลลัพธ์ที่สวนทางกันก็คือ คนทำงานวัยเจนฯ Z ที่เหมือนกำลังอยู่บนลู่วิ่งของการทำงานด้วยความเร็วสูงโดยไม่หยุดพักเหล่านี้ กลับรู้สึกว่า ‘ทำมากแค่ไหนก็ไม่มีวันพอ’ เมื่อโลกของการทำงานอาจไม่ได้หมายถึงแค่การมีรายได้ให้มีชีวิตอยู่รอด แต่ยังหมายถึงการตอบโจทย์ และเติมเต็ม ‘คุณค่า’ ด้านอื่นๆ ในชีวิตด้วย&nbsp;เมื่อโลกของการทำงานไม่ได้ให้สิ่งเหล่านั้นกับคนทำงาน จึงไม่ใช่เรื่องเแปลกเลยหากหลายคนที่แม้จะเพิ่งเริ่มต้นทำงาน จะเกิดความรู้สึกว่างเปล่าและหมดไฟ ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ค้นพบตัวตน หรือแม้แต่คุณค่าของตัวเองเจอเสียอีก&nbsp;และนี่อาจเป็น 3 ปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุทำให้คนเจนฯ Z เกิดภาวะเบิร์นเอาต์เร็วกว่าคนเจนฯ อื่นๆ&nbsp;งานที่ไม่ได้เติมเต็มคุณค่างานวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2024 ได้ทำการสำรวจความต้องการของคนเจนฯ Z ว่าพวกเขากำลังมองหาอะไรในที่ทำงาน พบว่านอกจากคนทำงานรุ่นใหม่จะคาดหวังได้ทำงานในที่ที่สามารถให้ความก้าวหน้าในสายอาชีพกับพวกเขา ให้ความท้าทาย และเปิดโอกาสให้ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่แล้ว ยังคาดหวังถึงการจ้างงานที่มั่นคง รวมถึงการที่องค์กรมองเห็นความสำคัญในเรื่องอัตลักษณ์ที่แตกต่างหลากหลาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของพวกเขาด้วย ผลสำรวจนี้อาจสะท้อนได้ว่า คนเจนฯ Z &nbsp;ไม่ได้กำลังมองหาแค่การเติบโตในอาชีพการทำงาน ไม่ได้มองหาแค่เป้าหมายหรือการประสบความสำเร็จเท่านั้น เช่นเดียวกับที่ไม่ได้ต้องการแค่การได้รับค่าจ้าง (ที่เเฟร์) เพียงอย่างเดียว แต่กำลังมองหา ‘คุณค่า’ และ ‘ความหมาย’ ของชีวิตจากการทำงานไม่น้อยไปกว่ากันด้วยแต่ผลสำรวจนี้เองที่เผยให้เห็นว่า หากเทียบกับคนเจนฯ ก่อนหน้านี้ คนเจนฯ Z กำลังประสบภาวะความพึงพอใจต่อการทำงานต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับเหล่านี้จากโลกของการทำงานนั้นไม่ได้มีอยู่จริง หรือไม่ได้เติมเต็มพวกเขาเท่าที่ควรจะเป็น นำมาสู่ความรู้สึกของการไม่มีส่วนร่วมกับงานที่ตัวเองทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดไฟ หมดใจต่อการทำงานในที่สุด&nbsp;Work ไร้ Balance&nbsp;ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องง่ายขึ้นมากทุกวันนี้ ในอีกด้านหนึ่งมันก็มาพร้อมกับการ ‘เบลอ’ เส้นแบ่งระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัวของคนยุคนี้ลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อมันทำให้เราต่างต้อง ‘คอนเน็กต์’ กับโลก แบบที่แทบแยกไม่ออกว่าเวลาไหนคือเวลาทำงาน ไหนคือเวลาพักอีกแล้ว หรือแม้แต่การอยู่ในช่วงเวลาพักก็จริง แต่หลายครั้งเรากลับรู้สึกผิด และพยายามที่จะบังคับตัวเองให้ต้อง Productive อัพเดต อัพสกิลตัวเองอยู่ตลอดเวลาและปัจจัยข้อนี้เองที่มีส่วนทำให้คนทำงานวัยเจนฯ Z เกิดภาวะ Overwhelmed จากความเครียดกับความกดดันอย่างรุนแรง ภาวะ Overwhelmed นี้ไม่ได้เพียงมีผลทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และจิตใจเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความอ่อนล้าทางร่างกายที่ลดทอนคุณภาพชีวิตในด้านอื่นๆ ตามมา&nbsp;งานวิจัยจากวารสาร Journal of Scientific Reseach ยังบอกด้วยว่า ไม่เพียงขอบเขตที่ไม่ชัดเจนระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวที่ทำให้คนทำงานยุคนี้ต้อง ‘สเเตนด์บาย’ ตลอดเวลาจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานที่หนักเกินไป (Workload) แล้ว การทำงานที่ ‘มาก’ และ ‘หนัก’ แต่ไม่ได้ให้ความชัดเจนในเรื่องของ ‘บทบาท’ หรือคุณค่าของคนที่ทำงานนั้นๆ มากพอ ยังทำให้คนยุคนี้รู้สึกว่าไม่ได้ค้นพบ ‘ตัวเอง’ อยู่ในงานนั้นๆ ที่กำลังทำ และนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ภาวะเบิร์นเอาต์กัดกินคนทำงานวัยเจนฯ Z นั่นเองความสำเร็จที่ไม่เคย (รู้สึก) พอโลกโซเชียลฯ อนุญาตให้เราเห็นชีวิต ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงความสำเร็จของคนอื่นได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนสิ่งนี้เองกลายมาเป็นปัจจัยใหญ่ที่ของภาวะเบิร์นเอาต์ในคนทำงานยุคนี้ที่อาจทำให้เอาหลักไมล์ความสำเร็จของตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับหลักไมล์ความสำเร็จของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดความรู้สึกว่ายิ่งต้องกดดันตัวเองให้มากที่สุด เพื่อไปถึงความสำเร็จตามมาตรฐานนั้นบ้าง ทั้งที่มาตรฐานความสำเร็จของคนอื่นที่ว่าอาจไม่มีอยู่จริง หรือไม่จริงอย่างที่เห็นทั้งหมดก็ได้&nbsp;งานวิจัยจาก Frontiers in Public Health ยืนยันได้ว่าภาวะเบิร์นเอาต์เชื่อมโยงกับพฤติกรรมการเสพติดโซเชียลฯ แม้โซเชียลฯ จะไม่ได้ให้ผลเป็นภาวะเบิร์นเอาต์โดยตรง แต่กลับเล่นงานเราในแง่ ‘Emotional Impact’ ที่ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ไม่ว่าเราจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่คิดว่าเขาประสบความสำเร็จมากกว่าหรือน้อยกว่าเรา ก็สามารถนำมาสู่ความรู้สึก ‘ไม่พอใจในตัวเอง’ ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะสิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงอย่างการมองตัวเองเทียบกับคนที่ดูจะประสบความสำเร็จน้อยกว่า ซึ่งยิ่งก่อให้เกิดความกระหายในการจะได้รับการยืนยันความมั่นใจในจุดที่ตัวเองอยู่มากขึ้นไปอีก กระทั่งเกิดความกดดัน นำมาสู่การตั้งคำถามในบทบาทหน้าที่ ตัวตน หรือเกิดความสงสัยในคุณค่าของตัวเองต่างๆ นานา และในที่สุดภาวะเบิร์นเอาต์จากความรู้สึกไม่พอใจในตัวเองก็จะตามมา&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.forbes.com/sites/traversmark/2025/03/31/3-reasons-why-gen-z-is-burning-out-fast---by-a-psychologist/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.forbes.com/sites/traversmark/2025/03/31/3-reasons-why-gen-z-is-burning-out-fast---by-a-psychologist/</a>

ในปี 2016 Liu Ke และ Huang Huang ศิลปินคู่รักชาวจีน ต้องเจอกับวิกฤติในความสัมพันธ์ของพวกเขา ทว่าทางเลือกของทั้งคู่ไม่ใช่การไปปรึกษานักบำบัดชีวิตคู่เหมือนกับคู่รักคนอื่นๆ แต่พวกเขาเลือกที่จะใช้งาน ‘ศิลปะ’ เป็นตัวช่วยเรียกความรักที่จางไปกลับคืนมาอีกครั้ง

‘Mirror’ โปรเจ็กต์ภาพถ่ายที่ศิลปินคู่รักชาวจีนถ่ายภาพกันและกันทุกวันนาน 2 ปี 
เพื่อใช้ศิลปะช่วยบำบัดความสัมพันธ์ 

บางครั้งเวลาความสัมพันธ์เดินมาเจอปัญหาความไม่เข้าใจ หรือความไม่สบอารมณ์ใดๆ ที่ทำให้ใจขุ่นมัว เชื่อว่าหลายคนมีวิธีรับมือแตกต่างกันออกไป และหนึ่งในหลายๆ วิธีนั้นก็อาจเป็นการเลือกที่จะ ‘เงียบ’ เพราะคิดว่าการเงียบราวกับชัตดาวน์ตัวเองไปเลยจะช่วยคลี่คลายปัญหา หรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่นำมาสู่การกระทบกระทั่งระหว่างกันได้มากกว่า

Silent Treatment อาการผลักไสไล่ส่ง และลงโทษด้วยความเงียบงันที่อาจกลายเป็นความรุนแรงทางความรู้สึกและความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว

นอกจากอาการเมาแผ่นดินไหวที่หลายคนกำลังเป็น จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุดที่ผ่านมา ร่องรอยจากภัยพิบัติยังอาจทิ้งผลกระทบต่อจิตใจที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย มากกว่านั้นคือการที่เราไม่รู้จะเอาตัว เอาใจไป ‘วาง’ ไว้ตรงไหน เหตุการณ์ข้างนอกก็ชุลมุลวุ่นวาย ไม่แน่นอน และยังวางใจไม่ได้ แม้ว่าแผ่นดินไหวจะผ่านไปแล้ว แต่กลับพบว่า ‘ข้างใน’ ตัวเราเองนี่แหละที่มันยังคงสั่นไหวหนักยิ่งกว่า

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

ชวนมอง 3 ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานเจนฯ Z เผชิญภาวะ Burnout เร็วกว่าคนเจนฯ อื่น

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS