‘การกรีดร้องบำบัด’ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น Therapeutic Emotional Release หรือการเยียวยาเพื่อปลดปล่อยทางอารมณ์วิธีหนึ่งเหมือนกัน

‘Screaming Therapy’ การกรีดร้องบำบัดที่ ตัวช่วยลดความเครียดแบบไวๆ ที่ทำง่ายและทำได้ทันที

เชื่อว่าเวลามีเรื่องแน่นอกคับใจ หลายคนคงมีวิธีการระบายออกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเลือกวิธีการเล่าหรือพูดเรื่องนั้นออกมา ร้องไห้ ตะโกนใส่หมอน ก่นด่า หรือแม้แต่การสบถ เพื่อหาทางบำบัดเยียวยาตัวเองจากความอึดอัดภายในใจนั้นและ การกรีดร้องบำบัด ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น Therapeutic Emotional Release หรือการเยียวยาเพื่อปลดปล่อยทางอารมณ์วิธีหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วการกรีดร้องบำบัดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว หากย้อนกลับไปราวปี 1960 ทฤษฎี ‘Primal therapy’ หรือการทำจิตบำบัดที่โฟกัสไปยังอารมณ์และความรู้สึกส่วนลึกสุดภายในใจของคนเราถูกพัฒนาขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อาร์เธอร์ จานอฟ (Arthur Janov) ผู้ตีพิมพ์หนังสือว่าด้วยเรื่อง Primal Scream ที่เขาเชื่อว่า การกรีดร้องคือหนทางหนึ่งในการจะดึงเอาความเจ็บปวดซึ่งเป็นรากเหง้าของอาการทางจิตประสาทที่ถูกกดทับไว้ในวัยเด็กของคนเราออกมา และพอเรากล้าเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นด้วยการปลดปล่อยอย่างการตะโกนกรีดร้องดังๆ ก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยสามารถเยียวยารักษาอาการทางประสาทได้แม้ว่าจะไม่ได้มีข้อมูลทางการแพทย์มากพอมาสนับสนุนทฤษฎี Primal Scream ของจานอฟว่า มันช่วยรักษาอาการทางประสาทได้เวิร์กจริงหรือเปล่า หรือเวิร์กแค่ไหน และนั่นทำให้การกรีดร้องเป็นวิธีจิตบำบัดที่อาจไม่ได้ถูกนำมาใช้กันทั่วไปนัก แต่ในปัจจุบันกลับมีการนำเอาวิธีกรีดร้องบำบัดมาใช้กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นที่พูดถึงในเมนสตรีมมากขึ้น ตั้งแต่อินฟลูฯ อย่างนักร้องสาว Grimes ที่เล่าว่าเธอใช้เวลา 20 นาทีทำ Screaming Sessions เพื่อบำบัดตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในรูทีนจำเป็น เช่นเดียวกับ Leadenhall Market ในลอนดอนที่เพิ่งเปิด ‘Screamatorium’ เมื่อปีก่อนให้เป็นพื้นที่ส่วนตัว มิดชิด และปลอดภัยใจกลางเมืองสำหรับคนอยากมาระบายความอัดอั้นตันใจให้กรีดร้องตะโกนกันได้อย่างสุดเสียงแบบไม่ต้องเกรงใจใครหรืออย่าง Local Community ในซิดนีย์ ชื่อว่า ‘Shout Sisters’ ที่ชักชวนผู้หญิงจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันในสวนสาธารณะยามค่ำคืนแล้วอนุญาตให้ทุกคนสามารถกรีดร้องได้เต็มที่โดยมีกฎง่ายๆ แค่ว่าไม่ต้องอายและไม่ต้องตัดสินกันก็พอ&nbsp;ดร. รีเบคกา เซมเมนส์-วีลเลอร์ (Dr. Rebecca Semmens-Wheeler) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Birmingham City ในอังกฤษ ให้ความเห็นว่า แม้การกรีดร้องอาจไม่ใช่ทางแก้ที่จะช่วยให้ Well-being ของสุขภาพจิตเราดีขึ้นในระยะยาวได้ขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ ในทาง Physical คือเวลาการปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมาด้วย ซึ่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือชื่อเล่นว่า ‘Feel Good Hormone’ นี้อาจสามารถช่วยบรรเทาอารมณ์ที่เคร่งเครียดหรือวิตกกังวลแบบชั่วคราวได้&nbsp;“เสียงที่เปล่งออกมาเวลาเรากรีดร้อง เหมือนเป็นการทำให้อารมณ์แย่ๆ ที่ถูกกดไว้เกิดเป็นรูปร่างและจับต้องได้ เช่นเดียวกับการร้องไห้ของคนเราที่จะไปช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างความเครียดในร่างกาย ซึ่งถ้าการกรีดร้องสามารถช่วยให้คนคนหนึ่งร้องไห้ออกมาได้ นั่นก็อาจเป็นหนทางหนึ่งท่ีช่วยเยียวยาความเครียดได้เหมือนกันค่ะ” ดร. รีเบคกา เซมเมนส์-วีลเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยากล่าวหลายคนบอกว่าการ กรีดร้องทำให้พวกเขารู้สึกเหมือน ‘ปลดปล่อย’ และนำไปสู่ความรู้สึก ‘บริสุทธิ์’ มากขึ้น อย่าง Sarah วัย 30 ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เลือกวิธีกรีดร้องเพื่อบำบัดความทุกข์ภายในใจ หลังจากเธอเผชิญกับปัญหาถาโถมทั้งเพื่อนสนิทฆ่าตัวตาย ถูกงานในฝันเท รวมถึงการสูญเสียคนที่รัก ทั้งหมดนั่นทำเธอแตกสลาย จนกระทั่งเธอค้นพบว่าการเปล่งเสียงออกมาดังๆ ช่วยเยียวยาความรู้สึกทุกข์ใจเหล่านั้นได้“วันหนึ่งฉันกำลังขับรถอยู่ดีๆ รู้สึกเหมือนมีความร้อนจุกอยู่ที่คอ แล้วฉันก็กรีดร้องออกมา ไม่รู้สิ อย่างน้อยมันก็ทำให้ร่างกายฉันรู้สึกเบาขึ้นมาบ้าง” ทั้ง Sarah และนักจิตบำบัดของเธอเห็นตรงกันว่าเวลาเรากำลังแบกทุกอย่างทุกเรื่องเอาไว้และพยายามจะจัดการกับสิ่งนั้นภายในใจ เป็นเรื่องโอเคมากๆ หากบางครั้งจะปลดปล่อยสิ่งที่เรากำลังแบกอยู่นั้นออกมาบ้างด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งบ้าง&nbsp;อย่างไรก็ตาม นักจิตวิทยายังยืนยันว่าการบำบัดสุขภาพจิตโดยผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เฉพาะทางด้วยวิธีการอื่นๆ ยังจำเป็นอยู่ เพราะการกรีดร้องบำบัดอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอสักเท่าไร ให้นึกภาพเหมือนเรากำลังเอาค้อนไปทุบเปลือกถั่วจิ๋วแบบเเรงๆ แทนที่เราจะค่อยๆ บรรจงแกะมันออกมาเพื่อพิจารณาว่าเนื้อในของสิ่งที่ทำเราทุกข์ใจคืออะไรกันแน่ แต่ทางที่ดีหากการกรีดร้องกับตัวเองในพื้นที่ปลอดภัยนั้นไม่ทำใครเดือดร้อน ก็อาจลองใช้มันเป็นทางเลือกของการ ‘ระบาย’ แบบชั่วครั้งชั่วคราวไปก่อนก็ย่อมได้&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.dazeddigital.com/beauty/article/57598/1/the-rise-of-therapeutic-screaming-primal-scream-arthur-janov" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dazeddigital.com/beauty/article/57598/1/the-rise-of-therapeutic-screaming-primal-scream-arthur-janov</a>&nbsp; https://www.verywellmind.com/what-is-primal-therapy-5211136

ไม่ใช่เรื่องผิด หากใครจะตัดสินใจคบกับแฟนต่อแม้จะถูกนอกใจ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เอามากๆ ขณะเดียวกัน การตัดสินใจที่จะคบกันต่อก็ไม่ได้เรื่องง่ายๆ 

8 ชาเลนจ์สำคัญในการคบกันต่อ หลังจับได้ว่าคนรักนอกใจ แต่เรายังไม่พร้อมเลิก

ถึงแม้เหล่านี้จะเป็นการตั้งคำถามปลายเปิดกับข้อสันนิษฐานที่ดูกวนๆ แต่ก็ชวนให้คิดได้ไม่น้อยเลยเหมือนกันว่า จริงๆ แล้วไอ้ความสัมพันธ์ที่ใครหลายคนกำลังมีอยู่ หรือกำลังจะกระโจนเข้าไปหานั้นน่ะ มัน ‘ใช่’ สำหรับตัวเองจริงไหม และเป็นไปได้หรือเปล่าที่ปัจจัยต่างๆ รอบข้างกำลัง ‘เบลอ’ ความเป็นจริง หลอกเราให้เชื่อว่ามันคือความสัมพันธ์ที่ใช่กันนะ

‘แค่เหงา หรือชอบเขาจริงๆ…’ ชวนสำรวจ 4 ปัจจัยที่อาจกำลังทำให้เราเลือกความสัมพันธ์กับคนที่ ‘ไม่ใช่’ 

เราเริ่มได้ยินคนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงานพูดคล้ายๆ กันมากขึ้นว่า พวกเขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจ หมดความสนใจ ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่การบ่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘ภาวะหมดไฟ’ (Burnout) ซึ่งกำลังค่อยๆ คืบคลานมาสู่คนทำงานเจนฯ Z อย่างน่าเป็นห่วง  

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

‘Screaming Therapy’ การกรีดร้องบำบัดที่ ตัวช่วยลดความเครียดแบบไวๆ ที่ทำง่ายและทำได้ทันที

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS