ปณิธานความตั้งใจในการเริ่มต้นปีใหม่ หรือ New Year’s resolutions ปี 2024 ที่สำรวจโดย Forbes Health พบว่าผู้คนตั้งใจโฟกัสเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตัวเอง เป็น 2 อันดับแรก

เป้าหมายปี 2024 ที่ผู้คนอยากทำให้ได้มากที่สุด คือการมีสุขภาพกายแข็งแรง ควบคู่สุขภาพจิตที่ดี ซึ่งหลายคนทำไม่ได้ในปีก่อน เพราะกดดันตัวเองมากไป

ส่งท้ายเรื่องราวแย่ๆ ในปีเก่า ต้อนรับเรื่องราวดีๆ ในปีใหม่ เพราะปี 2024 ต้องดีกว่าเก่า แต่การจะทำให้เป็นปีที่ดีได้ สุขภาพกาย และสุขภาพจิต ก็ต้องแข็งแรงพอที่จะพาให้เราลุยกันยาวๆ ไปจนจบปี ปณิธานความตั้งใจในวาระการเริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ หรือ New Year’s resolutions ประจำปี 2024 ที่สำรวจโดย Forbes Health จึงพบว่าผู้คนตั้งใจโฟกัสเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตัวเอง ตีคู่กันมา 2 อันดับแรก และ 2 อันดับนี้ก็ยังเป็น 2 อันดับเดิมที่เมื่อปี 2023 หลายคนก็ตั้งเป้าไว้ บางคนก็ทำได้สำเร็จ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ทำไม่สำเร็จเพราะกดดันตัวเองมากไป จึงต้องมาทำกันต่อในปีนี้ ซึ่งนับว่าไม่เป็นอะไรเลยนะทุกคน เรามาค่อยๆ สู้กันต่อไปพร้อมๆ กันนะ!ผลสำรวจจาก Forbes Health/OnePoll ที่ว่านี้ สำรวจผู้ใหญ่ 1,000 คนในสหรัฐฯ ถึง New Year’s resolutions ที่พวกเขามุ่งมั่น และพบว่า 48% ของผู้คนมุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงสุขภาพกายให้ดีขึ้นเป็นลำดับความสำคัญแรก และคนอีก 36% เลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่สุขภาพจิตเป็นอย่างแรก แตกต่างกับปี 2023 ที่ผู้คน 45% จะโฟกัสไปที่สุขภาพจิตมาเป็นอันดับที่หนึ่ง และอันดับสอง 39% จะโฟกัสเรื่องของสุขภาพกาย ซึ่งนับว่ายังเป็นเรื่องเดิมที่ผู้คนให้ความสำคัญต้นๆ แค่สลับกันมงลงคนละปี เพราะสุดท้ายเรื่องของ ‘สุขภาพ’ ก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสำคัญ ที่ไม่ว่าจะสุขภาพกาย หรือสุขภาพจิต ก็นับว่าสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน และเป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้คนรู้เท่าทันสุขภาพตัวเอง และหันมาสนใจกันมากขึ้นในช่วงปีหลังๆ มานี้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 55% ก็ยืนยันว่าเป้าหมายทั้งสองนี้มีความสำคัญเทียบเท่ากัน เพราะสุดท้ายการพัฒนาใจเราให้แข็งแรงก็มีความเชื่อมโยงกับการฟิตร่างกายให้แข็งแรงอยู่เหมือนกัน&nbsp;โดย ดร. จูดี้ โฮ (Judy Ho) นักประสาทจิตวิทยาและหนึ่งในสมาชิก Forbes Health Advisory Board หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของ Forbes ได้กล่าวถึงความสำคัญของการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตว่ามันจะช่วยให้เราอารมณ์ดีขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ ปรับปรุงการนอนหลับให้ดีขึ้น เพิ่มสมาธิ จัดการความเครียดได้ ลดความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและแพนิค จนถึงพัฒนาความมั่นใจ และเพิ่ม self-esteem ในตัวเองได้“การออกกำลังกายจะเพิ่มปริมาณสารแห่งความสุขและกระตุ้นสารสื่อประสาทในสมองคุณ ทั้งเอ็นโดรฟินและโดปามีน” ดร. จูดี้ โฮ กล่าว แต่ก็ใช่ว่า New Year’s resolutions ที่ตั้งไว้นี้จะเกิดขึ้นจริงอย่างราบรื่น เพราะผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 61.7% ที่กล่าวว่าพวกเขากดดันในการเซ็ตปณิธานปีใหม่นี้ และหลายคนก็มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้ โดย 66.5% ระบุว่าต้องทำตามปณิธาณให้ได้ 3 ข้อ หรือมากกว่านั้น เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า อะไรที่รัดแน่นเกินไป เครียดเกินไป หรือไม่ยืดหยุ่นเกินไป สุดท้ายอาจทำให้สิ่งที่เราตั้งใจไปไม่ถึงฝั่ง และจากที่อยากจะมีสุขภาพดีขึ้น ก็อาจจะมีสุขภาพแย่ลงแทน เพราะดันเครียดกับเป้าหมายจนเสียสุขภาพ“พวกเรามักจะล้มเหลวในการทำเป้าหมายของ New Year’s resolutions ให้สำเร็จ เพราะว่าเราดันไปโฟกัสที่ผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงมากไป เป้าหมายมันต้องใช้เวลานะ และหลายคนก็หมดใจไปเสียก่อน” ดร. ซาบริน่า โรมานอฟ (Sabrina Romanoff) นักจิตวิทยาคลินิกและหนึ่งในสมาชิก Forbes Health Advisory Board กล่าว ซึ่งสิ่งที่กำหนดแบบเฉพาะเจาะจงมากไป ก็ยกตัวอย่างเช่น ตัวเลขบนตาชั่งที่เข้มงวดว่าต้องเท่านั้น เท่านี้แบบเป๊ะๆ ซึ่งบางครั้งอาจจะสวนทางกับความเป็นไปได้ของระยะเวลา หรือถ้าเป็นเรื่องสุขภาพจิต บางคนอาจพยายามแกล้งทำเป็นคิดบวกไปเสียทุกเรื่อง เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนสุขภาพจิตดี ทั้งที่จริงๆ แล้ว มิติเรื่องสุขภาพจิตมันมีมากกว่านั้น และการพยายามคิดบวกแบบฝืนๆ อาจไม่ได้เป็นตัวช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้เสมอไป ดังนั้นการเลือกที่จะทำความเข้าใจหรือรู้เท่าทันสุขภาพจิตอาจสำคัญมากกว่า ซึ่งบางคนอาจจะเลือกที่จะไปปรึกษาคนรอบข้างเรื่องนี้ให้ใจเบาลง หรือไปพบนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์ เพื่อแก้ไขในระยะยาว ส่วนเรื่องการลดน้ำหนัก หรือการออกกำลังกายให้แข็งแรง ก็ต้องไม่หักโหมมากจนกลายเป็นเราไม่มีความสุขคำแนะนำของ ดร. ซาบริน่า โรมานอฟ ในการบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ให้สำเร็จแบบฉบับไม่กดดันตัวเองมากไป คือการตั้งเป้าหมายระยะสั้น และระยะยาว และทั้งสองระยะนี้ก็อาจจะมีการให้รางวัลตัวเองเพื่อให้เรามีแรงใจในการมุ่งมั่นทำมัน เช่น หากเดินออกกำลังกายได้ 5,000 ก้าวต่อวันในเดือนหน้า คุณจะสื่อของขวัญให้ตัวเอง ซึ่งของขวัญนั้นอาจเป็นของขวัญที่ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ เช่น คนออกกำลังกาย ก็อาจจะซื้อหูฟังใหม่ หรือชุดออกกำลังกาย เป็นต้น และไม่ใช่แค่การซื้อของอย่างเดียว แต่การแบ่ง ‘เวลา’ ให้ตัวเองได้หายใจหายคอก็ยังควรทำ เช่น การไปพักผ่อนบ้าง กินขนมหวานที่ชอบบ้าง หรืออนุญาตให้ตัวเองตื่นสายบ้างก็ถือเป็นกำไรชีวิตอย่างหนึ่งเหมือนกันนอกจากเรื่องสุขภาพกาย และสุขภาพจิตแล้ว ปณิธานปีใหม่ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่คนอยากจะทำ เช่น 38.2% อยากจะพัฒนาเรื่องของการเงิน 25% อยากใช้เวลาไปกับคนรัก 8.8% เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ 7.1% หาเวลาให้กับงานอดิเรกมากขึ้น หรือ 5.9% ออกไปท่องเที่ยว&nbsp;ซึ่งไม่ว่าเป้าหมายของทุกคนจะเป็นอย่างไร เราก็ยังต้องพึ่งพาสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่แข็งแรงในการจะมุ่งมั่นทำอะไรสักอย่างอยู่ดี ฉะนั้นแล้ว ขอให้ปีนี้ของทุกคนมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่มั่นคงกันถ้วนหน้านะคะอ้างอิง:<a href="https://www.forbes.com/health/mind/new-year-resolutions-survey-2024/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.forbes.com/health/mind/new-year-resolutions-survey-2024/</a>

บ่อยครั้งที่คนระบายมีเรื่องอยากพูดเต็มไปหมด โดยไม่ได้ถามไถ่อีกฝ่ายว่าเรื่องราวที่กำลังจะถาโถมเข้ามานั้นผู้ฟังเขา ‘พร้อมรับ’ หรือเปล่า และนี่เองคือสิ่งที่เรียกว่า Trauma Dumping หรือการโยนปัญหาและความทุกข์ใส่อีกคนแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่ได้คำนึงถึง Boundary ของอีกฝ่าย

Trauma Dumping การเอาความทุกข์โยนใส่คนอื่น ซึ่งทั้งไม่แฟร์ และ Toxic ต่อความสัมพันธ์

ยอมรับว่าในโลกที่มนุษย์ยังต้องพึ่งพาอาศัยกัน และไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตามลำพังแบบ 100% ขนาดนั้น เอเนอร์จี้มากมายของเราย่อมถูกใช้ไปกับการทำให้คนอื่นพึงพอใจ คอยแคร์ว่าเขาจะคิดอย่างไร จะรีเเอ็กแบบไหนกับเรา แล้วเราเองก็ต้อง ‘Please’ เขาแบบไหน เพื่อรักษาความสัมพันธ์นั้นๆ ให้อยู่รอดต่อไป

บางครั้ง Self-care ที่จำเป็นคือการเรียนรู้ที่จะ ‘ปฏิเสธ’ และ ‘ตัด’ คนออกไปจากชีวิตบ้าง

โรงแรมอิซุ แมริออท ชูเซ็นจิ (Izu Marriott Shuzenji) ที่จังหวัดชิซูโอกะ เสนอทริปที่คุณสามารถเอาบรรดาของต่างหน้าเมนไปฝากให้ศาลเจ้าในท้องถิ่นช่วยพาไปสู่ที่ชอบๆ แทนได้ แถมยังได้พักผ่อนฮีลใจไปกับออนเซ็นและอาหารแสนอร่อยอีกด้วย

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS