Pollyanna syndrome คือคนที่มักจะคิดบวก มองโลกในแง่ดี จำแต่เรื่องดีๆ อะไรไม่ดีก็เอามันออกไปจากความคิดเสียให้หมด ซึ่งจะแตกต่างกับคนที่คิดบวกบ้าง แต่ยังมองเห็นความเป็นจริงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น

Pollyanna Syndrome การพยายาม มองโลกบวก และเพิกเฉยความเป็นจริง ที่อาจเสี่ยงต่อสุขภาพจิต จากการฝืนกดความรู้สึกที่แท้จริงไว้เป็นเวลานาน

การมองโลกในแง่ดี หรือหาแง่มุมดีๆ จากประสบการณ์แย่ๆ ที่พบเจอ หากนั่นทำให้ความรู้สึกของบางคนดีขึ้น ช่วยให้ไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ เป็นเวลานานๆ ก็นับเป็นหนึ่งหนทางในการเยียวยาใจผู้คนได้ไม่น้อย ถึงอย่างนั้น พักหลังมานี้ก็มีหลายครั้งที่หลายคนเริ่มถกเถียงกันว่า การคิดบวก ‘มากเกินไป’ ก็มีแง่มุมท็อกซิก ซึ่งถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร หรือมันไม่ได้วกกลับมาทำร้ายตัวเอง นั่นก็เป็นสิทธิที่เราจะคิดบวกอย่างเฮลท์ตี้ แต่หากเมื่อใดก็ตามเราใช้วิธีการคิดบวกกับทุกเรื่องโดยไม่สนสถานการณ์ภายนอก หรือมองลบเป็นบวกเสียทุกเรื่อง บางครั้งมันอาจส่งผลแง่ลบกับตัวเราเอง และเราก็อาจส่งต่อความคิดอันตรายบางอย่างสู่คนอื่นได้เหมือนกัน โดยหนึ่งอาการที่มีคำนิยามตามแบบที่เราพูดไปนั้นคือ&nbsp;‘Pollyanna syndrome’ เมื่อผู้คนเลือกที่จะ ‘ดื้อ’ คิดบวกโดยไม่สนว่าโลกภายนอกมันจะเลวร้ายแค่ไหน และคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วมักดีเสมอ (ซึ่งดีจริงเหรอ?) Pollyanna syndrome หรือที่นักจิตวิทยาบางคนเรียกมันว่า Pollyanna principle คือคนที่มักจะคิดบวก มองโลกในแง่ดี จำแต่เรื่องดีๆ อะไรไม่ดีก็เอามันออกไปจากความคิดเสียให้หมด ซึ่งจะแตกต่างกับคนที่คิดบวกบ้าง แต่ยังมองเห็นความเป็นจริงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เช่น ถ้าเพื่อนไม่คืนเงินจำนวนหนึ่ง แล้วทำให้เราเดือดร้อน คนคิดบวกบางคนอาจคิดว่า เพื่อนคงมีปัญหาของเพื่อน แต่ก็ยังตั้งใจทวงเงินต่อไป เพื่อให้ได้คืนมา แต่สำหรับ Pollyanna syndrome อาจจะมองไปในลักษณะที่ว่า เราก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น ให้เพื่อนไปก็คงไม่เป็นอะไร ทั้งที่ความจริงอาจจะลำบาก แต่ไม่อยากเป็นคนคิดลบ งั้นคิดบวกไปเลย พยายามเข้าใจโลก ซึ่งนี่ก็อาจทำให้ถูกเอาเปรียบได้เหมือนกันในแง่หนึ่ง Doctor Steven Novella นักประสาทฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่า หลักการของ Pollyanna คือการที่ผู้คนที่มองโลกในแง่ดี จะไม่ค่อยจะจำเหตุการณ์ลบๆ ในชีวิตของตน ซึ่งนั่นแปลว่าพวกเขาพยายามแกล้งลืมๆ เรื่องไม่ดี เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องจำนั่นแหละ โดยจุดเริ่มต้นของคำนี้ เกิดจากคาแรกเตอร์เด็กผู้หญิงกำพร้าที่ชื่อ Pollyanna ที่เขียนโดย Eleanor H. Porter ซึ่งมีลักษณะคิดบวกอย่างไม่หยุดยั้ง ที่มักจะมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตด้วยแว่นตาสีกุหลาบสดใส และคำนี้ก็มีการถูกนำมาใช้เมื่อผู้คนเจอสถานการณ์ร้ายๆ ให้คนมองโลกในแง่ดี เช่น วิกฤติการเงิน ที่ความเป็นจริงแล้ว คนเราก็คงจะเครียดกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่หากมองมันด้วยแง่บวกมากๆ มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันดีที่สุดแล้ว ก็อาจเหมือนเป็นการหลอกตัวเอง และ normalize ความยากจน ทั้งที่จริงอาจมีปัญหาต่างๆ ซ่อนอยู่ ที่เราไม่ยอมคิดว่ามันกำลังเป็นปัญหา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น และจะทำให้เกิดความท็อกซิกในจิตใจของคนที่เป็น Pollyanna syndrome คือเมื่อมีคนมาให้แง่มุม หรือนำเสนอแง่มุมที่บางครั้งก็เป็นความจริงที่น่าคิด พวกเขาก็จะไม่ค่อยฟัง และต่อต้านทันที เช่น เมื่อบางคนถูกแฟนบอกเลิกอย่างเจ็บปวด คนที่เป็น Pollyanna ก็อาจพยายามแสดงด้านสตรอง คิดบวก ไม่เป็นอะไรหรอก เขาคงมีเหตุผลของเขา ไม่ได้อยากเป็นคนดราม่า ทั้งๆ ที่ความจริงลึกๆ อาจเจ็บปวด แต่การพยายามคิดบวกมากๆ ก็อาจทำให้สุดท้ายเกิดความเครียดเรื้อรังที่รอวันปะทุออกมา แม้ว่าเพื่อนจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกมา ก็ปฏิเสธความห่วงใยนั้นไปเสียหมด เช่นเดียวกับในกรณีถูกแฟนทำร้ายร่างกาย ที่บางครั้งเพื่อนยื่นมือช่วยเหลือเท่าไร ก็อาจคิดแง่บวกว่าทนได้ เขาทำเพราะรัก หรือมองว่าเป็นอะไรที่ต้องปรับตัวกันไป ซึ่งบางครั้งทำให้ถูกเอาเปรียบ และเป็นอันตรายไม่น้อย สุดท้าย Pollyanna ในหนังสือ ก็อดที่จะเศร้าไม่ได้อยู่ดี เมื่อเธอได้เป็นอัมพาตหลังเกิดอุบัติเหตุ เพราะบางอย่างมันก็ไม่สามารถมองโลกในแง่ดีได้ แต่การค่อยๆ ปรับตัวและฟื้นตัวอีกครั้ง ก็อาจทำให้เธอกลับมาคิดบวกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนคิดบวกไปเสียตลอด แบบนั้นก็อาจเฮลท์ตี้กว่าการพยายามคิดบวกโดยไม่สนทุกสิ่งอย่างที่มันอาจจะหนักหนาจริงๆ ในชีวิต การคิดบวกเป็นเรื่องที่ดี แต่หากคิดบวกแบบยืดหยุ่นอาจจะทำให้เราพร้อมตั้งรับกับสถานการณ์ยากๆ ได้อย่างรอบด้านมากกว่า บางครั้งการพยายามคิดบวกตลอดเวลาอยู่ทุกวัน ไม่ได้มีแง่มุมเฮลท์ตี้อยู่เสมอ เพราะในความเป็นจริง แต่ละวันของทุกคนมีทั้งวันที่ดีและวันที่ยาก หากเราพยายามปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง ไม่ยอมปล่อยให้ความคิดที่รู้สึกจริงๆ ได้ระบายออกมาบ้าง ก็อาจทำให้อึดอัดอยู่ข้างใน และเสี่ยงต่อเรื่องสุขภาพจิต และการทำเป็นแกล้งมองไม่เห็นปัญหา และนั่นทำให้ไปไม่ถึงการแก้ไขปัญหานั้นอย่างแท้จริง คล้ายๆ กับแนวคิดที่มองว่าการร้องไห้เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ ทั้งที่การแสดงมุมอ่อนแอออกมาบ้าง ก็เป็นหนึ่งวิธีในการระบาย และเป็นมนุษย์ที่สุดนะ อ้างอิง: <a href="https://www.psychologytoday.com/intl/blog/you-are-not-meant-be-happy/202210/the-dark-side-constant-optimism#:~:text=With%20%22Pollyanna%20syndrome%2C%22%20the,optimism%20is%20a%20better%20option." rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/intl/blog/you-are-not-meant-be-happy/202210/the-dark-side-constant-optimism#:~:text=With%20%22Pollyanna%20syndrome%2C%22%20the,optimism%20is%20a%20better%20option.</a> <a href="https://exploringyourmind.com/pollyanna-principle-ability-focus-positive/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://exploringyourmind.com/pollyanna-principle-ability-focus-positive/</a>&nbsp;

ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งคำถามที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ นั่นคือ “คุณมี Attachment Style แบบไหน?” เพราะคำตอบที่ได้จากคำถามนี้อาจเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น ไม่เพียงแค่ว่า อีกฝ่ายเป็นคนแบบใดในความสัมพันธ์ แต่ยังทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นในความสัมพันธ์นั้นๆ ด้วย

“คุณมี Attachment Style แบบไหน?” ทำความรู้จัก ‘4 รูปแบบความผูกพัน’ ที่ช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเอง และเข้าใจอีกฝ่าย เพื่อดูแลความสัมพันธ์ให้ดียิ่งกว่าเดิม

หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็อาจส่งผลให้ความขัดแย้งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้น จึงอยากชวนมารู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการสื่อสารอย่างสันติ เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้คำพูดทำร้ายกันและกัน

บอกความต้องการและความรู้สึกของตัวเอง แทนการกล่าวโทษ ตำหนิ หรือโจมตีอีกฝ่าย ชวนรู้จักวิธีการสื่อสารแบบ ‘I Message’ เพื่อลดความขัดแย้งในความสัมพันธ์

‘Floodlighting’ ที่เป็นคนละขั้วกับ Love Bombing ตรงที่ครั้งนี้จะไม่ได้เข้าหาด้วยระเบิดความรัก แต่เป็นเข้าหาด้วยการชวน ‘Deep Talk’ เรื่องส่วนตัวอย่างลึกซึ้งในเดตแรกๆ หรือช่วงต้นความสัมพันธ์ตั้งแต่ยังไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ เพื่อเป็นทางลัดสู่ความใกล้ชิดทางอารมณ์ เร่งความผูกพันแทนที่จะค่อยเป็นค่อยไป

‘Floodlighting’ เมื่อเขาดีพทอล์กใส่รัวๆ แชร์เรื่องหนักๆ ตั้งแต่เดตกันแรกๆ ความใกล้ชิดแบบเร่งรัดในความสัมพันธ์ ที่อาจทิ้งความ ‘อึดอัด’ ให้ฝ่ายที่ยังไม่พร้อม

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS