‘Peter Pan Syndrome’ การปฏิเสธความรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่ และปฏิเสธการเติบโตแบบชัดเจนจนถึงขั้นเกิดปัญหาทั้งความสัมพันธ์ครอบครัว ความสัมพันธ์โรแมนติก หรือการทำงานกับคนหมู่มาก

Peter Pan Syndrome ความรู้สึกไม่อยากโต ไม่พร้อมแบกรับหน้าที่หรือเผชิญปัญหาของผู้ใหญ่ ที่บางครั้งอาจท็อกซิกต่อคนรอบข้าง

หลายคนน่าจะรู้จักคาแรกเตอร์ของเด็กที่ไม่อยากโตในดินแดนเนเวอร์แลนด์อย่าง ‘ปีเตอร์แพน’ กันบ้างอยู่แล้ว ซึ่งหากถอยกลับออกมาดูผู้คนในสังคม ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยที่รู้สึกหนักอึ้งในใจ เหนื่อย ไม่อยากโตแล้ว บ้างก็อยากกลับไปเป็นเด็กแบบปีเตอร์แพน เพราะรับความกดดันรอบข้างไม่ไหว หรือไม่อยากเผชิญความกดดันเหล่านั้น โดยในทางจิตวิทยาเรียกอาการนี้ว่า ‘Peter Pan Syndrome’ ไม่ว่าสิ่งจูงใจที่ทำให้ไม่อยากเติบโต และถ้าเลือกได้ก็อยากคงความเป็นเด็กไว้ จะมาจากความเหนื่อยยากที่ต่อสู้กับงานที่ทำในสังคมและเศรษฐกิจที่เร่งรีบให้เราต้องโต แม้กระทั่งภาระความรับผิดชอบที่มากขึ้น ที่บางครั้งก็ทำให้เกิดความอ่อนล้า ไม่สามารถหาความสุขเล็กๆ ได้เหมือนตอนเป็นเด็กที่มีเวลาเล่นสนุกมากกว่านี้ หรืออาจเกิดขึ้นง่ายกว่านั้น จากความรู้สึกของบางคนที่โตมากับครอบครัวที่เลี้ยงดูอย่างตามใจ จึงคิดว่าฉันไม่จำเป็นต้องโตก็ได้นี่ ฯลฯ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ภาวะนี้จะไม่เป็นปัญหา ถ้าพฤติกรรมต่อต้านการเติบโตในชีวิตเราไม่ได้กระทบคนรอบข้างจนเกิดปัญหา แต่ในทางกลับกัน ถ้าการไม่อยากโตของเรากลายเป็นปัญหาต่อผู้อื่น เราอาจต้องปรับมันสักหน่อย Peter Pan Syndrome เป็นคำที่บัญญัติโดย ดร. แดน ไคลีย์ (Dr. Dan Kiley) ซึ่งปรากฏในหนังสือของเขา ‘The Peter Pan Syndrome: Men Who Have Never Grown Up’ ในปี 1983 และแม้จะไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคโดยตรง แต่ได้กลายเป็นคำที่นักจิตวิทยาใช้เรียกคนที่มีอาการไม่อยากโตจนถึงปัจจุบัน ลักษณะเด่นๆ ของ Peter Pan Syndrome คือการปฏิเสธความรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่ ขณะที่บางคนอาจจะรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาเด็กบ้างเป็นครั้งคราว แต่คนที่มีภาวะนี้ เรียกได้ว่ายึดติดกับชีวิตตอนเด็ก และปฏิเสธการเติบโตแบบชัดเจนจนถึงขั้นเกิดปัญหาทั้ง<a href="https://mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C" rel="noopener noreferrer" target="_blank">ความสัมพันธ์</a>ครอบครัว ความสัมพันธ์โรแมนติก หรือการทำงานกับคนหมู่มาก ดร. แดน ไคลีย์ ได้ยกตัวอย่างคนที่มีอาการ Peter Pan Syndrome ว่า พวกเขาอาจไม่แยแส ทำงานแบบผัดวันประกันพุ่ง และมาสายบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่จะทำให้กระทบกับคนที่ทำงานด้วยได้อย่างแน่นอน และพวกเขาอาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่ตัวเองทำผิดพลาดไป และอาจจะไปโทษคนอื่นแทน รวมไปถึงอาจกังวลและรู้สึกว่ายากในการสร้างมิตรภาพที่มีความหมาย และแน่นอน พอรู้สึกไม่อยากโต ก็อาจจะต้องการคนรักที่พึ่งพาได้ไว้ก่อน ตัวเองจะได้ไม่ต้องทำอะไร และไม่ต้องโตก็ได้ ในที่นี้ถ้าปราศจากความยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย เรียกได้ว่า ท็อกซิกเต็มๆ จะเห็นได้ว่า คีย์หลักสำคัญของอาการนี้ก็คือ การที่ไม่อยากจะรับผิดชอบกับอะไรในชีวิตของตัวเองแบบที่คนมีวุฒิภาวะทำกัน “ความรู้สึกไม่สบายใจเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล ความเศร้า ความเหงา หรือแม้แต่ตอนที่เราถูกวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับคนที่เป็น Peter Pan Syndrome ความอดทนต่อความทุกข์ของพวกเขาจะต่ำมาก ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง เพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถระงับหรือทนต่อความรู้สึกยากๆ นั้นได้” นาตาชา ดยุก (Natacha Duke) นักจิตบำบัด กล่าว พูดง่ายๆ ว่า บางคนอาจจะพยายามหนีปัญหาในชีวิตทุกอย่าง เลือกวางทิ้งไป และเพิกเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งความจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น และหากเลือกที่จะปล่อยเบลอไปแบบนี้ ก็อาจทำให้คนอื่นต้องแบกรับแทน เพราะปัญหาไม่ได้หายไป “ส่วนหนึ่งของการเป็นผู้ใหญ่คือการยอมรับว่ามีสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก บางครั้งคุณก็ต้องไปทำงานแม้ว่าคุณจะไม่อยากทำ แต่คนที่เป็นภาวะนี้ จะไม่ยอมรับสิ่งนั้น” ดยุก กล่าว ในแง่ความสัมพันธ์โรแมนติก หากคุณเป็น Peter Pan Syndrome หรือแฟนคุณกำลังเป็นอยู่ ถ้าขาดความเข้าอกเข้าใจกันจริงๆ เป็นไปได้ยากมากที่ความสัมพันธ์นี้จะเดินไปต่อได้ เช่น เขาอาจจะเลือกไม่ล้างจาน ไม่ซักผ้า ไม่ทำงานบ้าน และปล่อยให้อีกฝ่ายทำอยู่คนเดียว เพราะคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทำ และไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบ ไปจนถึง บางคนเมื่อไม่อยากโต ก็ไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้จริงจัง ไม่กำหนดสถานะ ไม่มองถึงการคบกันในระยะยาวว่าภาพอนาคตร่วมกันจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากคู่ของตัวเอง ไม่ได้รู้สึกแปลก ไม่ได้รู้สึกแย่ ก็คงคบกันต่อไปได้ แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่จะปล่อยวางได้เป็นแน่ แพทริก ชีแธม (Patrick Cheatham) นักจิตวิทยาในพอร์ตแลนด์ อธิบายว่า Peter Pan Syndrome อาจเกิดจาก “รูปแบบการเลี้ยงดูบางอย่างที่ส่งผลให้คนไม่ได้เรียนรู้ทักษะชีวิตระดับผู้ใหญ่, หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และภาระผูกพัน, แสวงหาการสัมผัส และสุขนิยม, และทำให้อิสระและการหลีกเลี่ยงความจริง กลายเป็นเรื่องโรแมนติกแทน” ชีแธมเสริมว่า ยังมีเรื่องของความยากลำบากในยุคนี้ที่การโตเป็นผู้ใหญ่นั้นไม่ง่าย ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ดี เขาคิดว่า “ต้องใช้ความเร่งรีบ แรงจูงใจในตัวเราเอง และทักษะทางสังคมต่างๆ ในการนำทางอาชีพมากกว่าในอดีต” แม้จะมีเหตุมีผล ที่ทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกเหนื่อยที่จะเติบโต อย่างไรก็ตาม การใช้ความไม่อยากโตไปสร้างภาระในชีวิตคนอื่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรอยู่ดี โดยดยุกกล่าวว่า “มีคนจำนวนมากกล่าวโทษผู้อื่น เกี่ยวกับข้อบกพร่องหรือพฤติกรรมของพวกเขา” และ “หากไม่สามารถทนต่อความทุกข์ยากได้ ก็ยากเหมือนกันที่จะได้ยินคำวิจารณ์ใดๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแบบมีวุฒิภาวะได้” ดยุกในฐานะนักจิตบำบัดมองว่า “การบำบัดสามารถช่วยให้ผู้คนพัฒนาความภาคภูมิใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเอง และความเห็นอกเห็นใจในตัวเองได้” ใครที่ประสบปัญหานี้อยู่ หรือคิดว่าอาการไม่อยากโตของตัวเองเริ่มเป็นผลเสียต่อชีวิตและคนรอบข้าง การลองทบทวนตัวเองหรือลองเข้าไปรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้คุณมองเห็นทางออกที่ดีมากขึ้น เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นการเติบโตไปได้อย่างสวยงามเสมอ อ้างอิง: <a href="https://health.clevelandclinic.org/peter-pan-syndrome/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://health.clevelandclinic.org/peter-pan-syndrome/</a> <a href="https://www.healthline.com/health/peter-pan-syndrome#is-it-bad" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.healthline.com/health/peter-pan-syndrome#is-it-bad</a> <a href="https://www.medicalnewstoday.com/articles/peter-pan-syndrome#traits" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.medicalnewstoday.com/articles/peter-pan-syndrome#traits</a>&nbsp;

‘ดอกไม้’ ไม่เพียงเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกช่วงเวลาของมนุษย์ ตั้งแต่ช่วงเวลาแห่งความสุข จนถึงช่วงเวลาของความโศกเศร้าสูญเสีย เป็นส่วนหนึ่งที่ผสมรวมอยู่ในทุกวัฒนธรรมและพิธีกรรม ดอกไม้ยังสามารถพาเรากลับมาเชื่อมต่อกับ ‘ภายใน’ และ ‘ใจ’ ของเราเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ 

‘Flower Mandala with Sound Healing’ เปิดประสบการณ์เวิร์กช็อปที่ชวนเรากลับมาโฟกัส ‘ใจ’ ด้วยดอกไม้บำบัด จากงาน Dragonfly H.E.A.L Summit 2024

หมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์หลายตัว ถูกฝึกและได้รับการรับรองให้เป็น ‘สุนัขบำบัด’ ที่ทำงานควบคู่กับเจ้าของและนักบำบัด เพื่อปลอบประโลมใจผู้คนที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากต่างๆ

ต้าวโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ กับบทบาท ‘สุนัขบำบัด’ ผู้เยียวยา เติมรอยยิ้ม และปลอบประโลมใจผู้คนให้ผ่านพ้นทุกความเจ็บปวดไปได้

ริวตะ วาตานาเบะ (Ryuta Watanabe) คือชายชาวญี่ปุ่นวัย 36 ปี ที่ได้รับฉายา ‘God of Marriage’ หรือเทพเจ้าแห่งการแต่งงาน เพราะเขามีภรรยาถึง 4 คน มีแฟนสาวอีก 2 คน มีลูกไปแล้ว 10 คน และตั้งเป้าไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะมีลูกให้ได้ถึง 54 คน! 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS