การยิ้มออกมาในทางกายภาพ แม้จะฝืนๆ เฟกๆ สามารถช่วยหลอกสมองและปรับอารมณ์ให้เรารู้สึกดีข้ึนได้จริงๆ และน่าสนใจที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับด้วย

วิทยาศาสตร์การ ‘ยิ้มเฟก’ อาจช่วยหลอกสมองที่รู้สึกแย่ในวันพังๆ ให้รู้สึกดีขึ้นได้-ชั่วคราว

การบอกว่า “จงยิ้มออกมา แม้จะเจอวันร้ายๆ” อาจเป็นประโยคที่บางคนมองว่าโลกสวย พูดง่าย ทำยาก และเราไม่จำเป็นต้องฝืนโกหกความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งก็ถูก เรามีสิทธิ์ที่จะรู้สึกเศร้า ร้องไห้ เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากวันไหนที่คุณจำเป็นต้องการเอเนอร์จี้ที่ดี เพื่อให้ชีวิตไม่ห่อเหี่ยวเกินไป การยิ้มออกมาในทางกายภาพ แม้จะฝืนๆ ก็สามารถช่วยหลอกสมองและปรับอารมณ์ให้เรารู้สึกดีขึ้นได้จริงๆ และน่าสนใจที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับด้วย แค่ยิ้มออกมา โลกก็สดใสขึ้น แม้จะชั่วคราว และนั่นเกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท จากผลการศึกษาในวารสาร Experimental Psychology นักวิจัย Fernando Marmolejo-Ramos พบว่าการยิ้มปลอมๆ สามารถส่งผลต่ออารมณ์ที่ดีขึ้นได้ เพราะการกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าบางส่วนโดยการยิ้มสามารถ ‘หลอก’ สมองให้คิดว่ากำลังมีความสุข เขาทำการวิจัยกับผู้เข้าร่วม 120 คน โดยให้คาบปากกาไว้ระหว่างฟัน และบังคับให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำเหมือนการเคลื่อนไหวของรอยยิ้ม ซึ่งผลออกมาว่าการฝืนยิ้มแบบนี้สามารถสร้างอารมณ์เชิงบวกได้มากขึ้น และ Marmolejo-Ramos ยังกล่าวว่าการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขณะยิ้มจะกระตุ้นอมิกดาลา หรือเนื้อเยื่อประสาทของสมอง ที่เป็นส่วนช่วยให้ผู้คนรู้สึกถึงอารมณ์โดยการปล่อยสารสื่อประสาท “ที่กระตุ้นให้เกิดสภาวะเชิงบวกทางอารมณ์” นั่นหมายความว่าการที่เรายิ้มปลอมๆ ออกมา มันสามารถพัฒนา<a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95" rel="noopener noreferrer" target="_blank">สุขภาพจิต</a>เราได้เหมือนกัน เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการจมอยู่กับความทุกข์นานๆ นั้นส่งผลต่อปัญหา<a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/Mental%20Health" rel="noopener noreferrer" target="_blank">สุขภาพจิต</a> แล้วพอส่งผลต่อสุขภาพจิต มันก็อาจกระทบการทำงาน <a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/Relationship" rel="noopener noreferrer" target="_blank">ความสัมพันธ์</a> รวมถึงการใช้ชีวิตได้ “หากเราสามารถหลอกสมองให้รับรู้สิ่งเร้าว่า ‘แฮปปี้’ อยู่ เราก็อาจใช้ประสิทธิภาพของกลไกนี้ช่วยเพิ่มเรื่องของสุขภาพจิตได้” Marmolejo-Ramos กล่าว หรืออีกหนึ่งงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำโดยนักวิทยาศาสตร์ ดร. Nicholas Coles ที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “การตอบสนองต่อประสาทสัมผัสจากใบหน้าเป็นเพียงสัญญาณที่สมองของเราใช้เพื่อทำความเข้าใจว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร การตอบสนองต่อสัญญาณประสาทสัมผัสจากรอยยิ้มบอกว่าเรากำลังรู้สึกดี และการตอบสนองต่อสัญญาณประสาทสัมผัสจากการทำหน้าบึ้งบอกว่าเรากำลังรู้สึกแย่” ดังนั้น เวลาที่เรารู้สึกแย่อยู่ แล้วทำหน้าบึ้ง ทำหน้าเศร้า ตลอดเวลา ก็อาจทำให้เรารู้สึกแย่ลงไปอีกได้ นั่นทำให้บางครั้งเราอาจจะต้องฝืนๆ ที่จะมีความสุข แม้มันจะเป็นความสุขปลอมๆ เพื่อหลอกให้ใจเราไม่ทุกข์ระทมมากนัก งานวิจัยของ ดร. Nicholas Coles ได้รวบรวมกลุ่มวิจัย 26 กลุ่มจาก 19 ประเทศ และผู้เข้าร่วมกว่า 3,800 คน โดยมีอายุเฉลี่ย 26 ปี ซึ่งผู้เข้าร่วมจะต้องกรอกแบบสอบถาม Discrete Emotions Questionnaire (DEQ) เพื่อวัดระดับความสุขของพวกเขาก่อน จากนั้นผู้เข้าร่วมจะได้คาบปากกาด้วยฟันเพื่อจำลองการยิ้ม ได้เลียนแบบการแสดงสีหน้าของนักแสดงที่กำลังทำท่าทางมีความสุข และผู้เข้าร่วมจะได้ขยับมุมปากไปทางหู และยกแก้มขึ้นโดยใช้กล้ามเนื้อใบหน้า หลังจากทำงานวิจัยครบ ผู้เข้าร่วมได้รายงานระดับความสุขที่สูงขึ้น นั่นหมายความว่าการแสดงออกผ่านสีหน้านั้นเชื่อมโยงกับระบบประสาท และส่งผลมายังอารมณ์ของเราได้จริง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของฮอร์โมนด้วย ดร. Isha Gupta นักประสาทวิทยาในนิวยอร์ก พบว่าการยิ้มสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนอย่างโดปามีน และเซโรโทนินในร่างกายได้ ความมหัศจรรย์ของรอยยิ้มบางทีก็ส่งต่อจากการที่เราเห็นคนอื่นยิ้มได้เช่นกัน จิตแพทย์ ดร. Eva Ritzo ได้กล่าวไว้ว่า การที่เราจะยิ้มตามคนที่ยิ้มอยู่แล้ว เพราะเรามีเซลล์สมองกระจกเงาที่จะทำงานเมื่อเราเห็นการกระทำ มันจะคัดลอก หรือสะท้อนพฤติกรรมที่เราสังเกตในผู้อื่นออกมา แง่มุมนี้จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่เรายิ้มให้ตัวเองหน้ากระจก ภาพรอยยิ้มของเราที่สะท้อนออกมาไม่เพียงกระตุ้นเซลล์สมองกระจกเงาของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราสงบสติอารมณ์ และตั้งสติได้ใหม่หากเรารู้สึกแย่ หรือวิตกกังวลอยู่ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นวิธีการจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ชั่วคราวเท่านั้น หากเรื่องเครียดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คอนโทรลได้ บางคนอาจจะต้องจัดการปัญหานั้นให้หมดไป ถึงจะกล้าพูดได้เต็มปากว่าหายเครียด หรือหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่คอนโทรลไม่ได้ บางคนอาจจะต้องให้เวลาตัวเองเยียวยาความรู้สึกที่เสียไปจนกว่าจะรู้สึกดี เพียงแต่ว่า ‘การยิ้มเฟกๆ’ ออกมา ก็อาจเป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยเยียวยาคุณได้ ในวันที่คุณไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้รู้สึกดีขึ้น อ้างอิง: <a href="https://www.cnbc.com/2020/08/21/simple-trick-that-can-make-you-happier-according-to-research.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.cnbc.com/2020/08/21/simple-trick-that-can-make-you-happier-according-to-research.html</a> <a href="https://www.medicalnewstoday.com/articles/is-faking-a-smile-enough-to-improve-your-mood#Happy-faces-may-not-impact-anxiety" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.medicalnewstoday.com/articles/is-faking-a-smile-enough-to-improve-your-mood#Happy-faces-may-not-impact-anxiety</a> <a href="https://www.nbcnews.com/better/health/smiling-can-trick-your-brain-happiness-boost-your-health-ncna822591" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.nbcnews.com/better/health/smiling-can-trick-your-brain-happiness-boost-your-health-ncna822591</a> &nbsp;

“แผ่นดินไหวทำให้รู้ว่าใครรักและเป็นห่วงเราบ้าง” / “เราเลิกกับแฟนเพราะแผ่นดินไหว” ในช่วงภาวะวิกฤตที่ผ่านมา มีทั้งคนใกล้ตัวเราและคนในโซเชียลมีเดีย ออกมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวเองว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรอย่างมากในความสัมพันธ์

แผ่นดินไหวครั้งนี้…บางคู่รักกันมากขึ้น 
แต่บางคู่ขอเลือกยุติความสัมพันธ์ เพราะ Support System ที่ดีจาก ‘คนรัก’ “สำคัญมาก” ต่อสภาพจิตใจในช่วงภาวะวิกฤต

เราเริ่มได้ยินคนรุ่นใหม่ที่กำลังอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงานพูดคล้ายๆ กันมากขึ้นว่า พวกเขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจ หมดความสนใจ ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่การบ่นเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘ภาวะหมดไฟ’ (Burnout) ซึ่งกำลังค่อยๆ คืบคลานมาสู่คนทำงานเจนฯ Z อย่างน่าเป็นห่วง  

ชวนมอง 3 ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานเจนฯ Z 
เผชิญภาวะ Burnout เร็วกว่าคนเจนฯ อื่น

ซีรีส์เรื่อง ‘When Life Gives You Tangerines ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน’ นำเสนอประเด็น ‘การพูดจาไม่ดีกับครอบครัว’ นับเป็นแง่มุมที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เพราะคนเรามักเผลอพูดจาร้ายๆ กับคนใกล้ตัวมากกว่าคนไกลตัว ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎี ‘Displacement’ ของ ‘Sigmund Freud’

“เราปฏิบัติกับคนอื่นเช่นเดียวกับการเขียนจดหมายรัก แต่กับผู้มีพระคุณกลับปฏิบัติราวกับเขียนบนเศษกระดาษ” Displacement ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ว่าด้วย ทำไมคนเราจึงมักพูดไม่ดีกับคนใกล้ตัว?

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

วิทยาศาสตร์การ ‘ยิ้มเฟก’ อาจช่วยหลอกสมองที่รู้สึกแย่ในวันพังๆ ให้รู้สึกดีขึ้นได้-ชั่วคราว

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS