ผลสำรวจเผย top 3 สิ่งที่ผู้ป่วยซึมเศร้าต้องการที่สุด คือ ‘ยาราคาถูก’ ‘ความยืดหยุ่นในที่ทำงาน’ และ ‘ทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลได้’

ขณะที่สังคมรับรู้ถึงผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ป่วยซึมเศร้าที่ตัดสินใจเข้ารับการรักษายังคงต้องเผชิญกับราคาที่ต้องจ่ายเองจำนวนไม่น้อย ที่หมายถึงทั้งเม็ดเงิน เวลา และเรื่องของการทำงาน เนื่องในวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) 10 ตุลาคมนี้ Rocket Media Lab จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ป่วยโลกซึมเศร้า จำนวน 506 คน ระหว่าง ก.ค. - ก.ย. 2565 เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับทำความเข้าใจสถานการณ์ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เข้ารับการรักษาพยาบาลต้องเผชิญกับสถานการณ์ใดบ้างในกระบวนการรักษา ตลอดจนสะท้อนความต้องการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าว่าอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และจากผลสำรวจพบว่า 3 สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยซึมเศร้าที่เข้าร่วมการสำรวจอยากได้ก็คือ 1) ยาราคาถูก : ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 41.1% ระบุว่า พวกเขาอยากให้ยาซึมเศร้ามีราคาถูกลง ซึ่งถ้าถามว่าตอนนี้ราคามันแพงแค่ไหน คำตอบจากแบบสำรวจนี้คือ 1 ใน 3 หรือ 29.3% ระบุว่าพวกเขาเสียเงินค่ารักษาซึมเศร้า มากกว่า 20% ของรายได้ ซึ่งไม่นับว่าน้อยเลย แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาของผู้ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชจะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิการรักษาพยาบาลทั้งบัตรทอง บัตรประกันสังคม และบัตรข้าราชการ แต่ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนหนึ่งก็เลือกที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ไม่ว่าจะด้วยความสะดวกในการเข้ารับบริการ รวมถึงเคมีของจิตแพทย์ที่เข้ารับการรักษา ซึ่งบางครั้งก็มาพร้อมกับราคาที่สูงขึ้น หากลงไปดูในตัวเลข 29.3% นี้ ยังพบว่ามีผู้ป่วยบางรายที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 70% ของรายได้อยู่กว่า 5.5% ทีเดียว ดังนั้นแล้ว ราคาค่ายาที่ถูกลง อย่างน้อยก็พอจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม นิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อธิบายว่า กรณีที่เรามักได้ยินว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าบอกว่าค่ายาแพงมาก หมายความว่าน่าจะเป็นยานอกบัญชี พอเป็นยานอกบัญชี โรงพยาบาลก็จะเรียกเก็บเงิน ซึ่งมีทางเลือกสองทาง ทางที่หนึ่งคือ เราเจรจากับหมอให้เปลี่ยนยาให้ โดยเลือกยาที่อยู่ในบัญชียาหลัก และอีกทางเลือก สำหรับผู้ป่วยในระบบบัตรทองและประกันสังคม คือผู้ป่วยต้องยืนยันสิทธิว่า ถ้าหมอผู้รักษา เป็นคนตัดสินใจใช้ยาตัวที่อยู่นอกบัญชียาหลักให้เรา โดยที่เราไม่ได้เป็นคนร้องขอ หลักการคือเราไม่ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นแล้วใครที่ประสบปัญหานี้อยู่อาจลองทำตามคำแนะนำนี้ดูได้ 2) ความยืดหยุ่นในที่ทำงาน :&nbsp;ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 27.3% ระบุว่าพวกเขาอยากได้ความยืดหยุ่นในที่ทำงาน โดยผู้ร่วมทำแบบสำรวจมีข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น “ควรมีระบบการลาป่วยที่คำนึงถึงปัจจัยการพบจิตแพทย์ เช่น การรอนานกว่าจะได้พบแพทย์ และได้ใบรับรองมาใช้ในการลา” “สิทธิการหยุดงานเพิ่มเติมนอกเหนือจากการลาป่วย (กรณีได้รับผลกระทบจากการปรับยา ไม่สามารถขับรถได้ และมีความเสี่ยงในการเดินทางไปทำงาน) หรือปรับเปลี่ยนเป็น WFH” รวมถึง “ควรมีมุมมองที่ดีต่อคนทำงานที่ซึมเศร้า และยืดหยุ่นในการปรับลักษณะงานช่วงรักษาตัว” ฯลฯ 3) ทำประกันสุขภาพส่วนตัวได้ : ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 27.1% ระบุว่าต้องการให้โรคซึมเศร้าสามารถทำประกันสุขภาพส่วนบุคคลได้ และนอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอต่อภาครัฐอีกว่า อยากให้เพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ให้เหมาะสมกับจำนวนของผู้ป่วย เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการเข้ารับการรักษาทางไกล รวมถึงอยากให้การรักษาครอบคลุมถึงการพบนักจิตวิทยาด้วย ฯลฯ ผลสำรวจนี้เผยให้เห็นอินไซต์ที่น่าสนใจอีกหลายข้อ ดูข้อมูลพื้นฐานได้ที่ https://rocketmedialab.co/database-depression/&nbsp;

ความอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจไปหมดซะทุกอย่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณลักษณะชวนเคลิ้มที่หากใครได้เจอ ก็น่าจะทำให้รู้สึกใจบางได้ไม่ยาก มองเผินๆ ก็ดูโอเค ไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัยตรงไหน ทว่าในคุณสมบัติที่เหมือนดีต่อใจแบบนี้นี่แหละ เราอาจต้องกลับมาดึงสติให้ดีๆ อีกที เพราะมันอาจเป็นความร้ายกาจที่ทำให้ปวดใจทีหลัง ซึ่งเรียกว่า Dark Empaths ที่ซ่อนมาภายใต้ความละมุนนี้ก็ได้

Dark Empaths พฤติกรรมด้านมืดของการใช้ความเข้าอกเข้าใจ มองหาช่องว่างในความอ่อนไหว เพื่อหลอกใช้คนอื่น

บางครั้งเวลาความสัมพันธ์เดินมาเจอปัญหาความไม่เข้าใจ หรือความไม่สบอารมณ์ใดๆ ที่ทำให้ใจขุ่นมัว เชื่อว่าหลายคนมีวิธีรับมือแตกต่างกันออกไป และหนึ่งในหลายๆ วิธีนั้นก็อาจเป็นการเลือกที่จะ ‘เงียบ’ เพราะคิดว่าการเงียบราวกับชัตดาวน์ตัวเองไปเลยจะช่วยคลี่คลายปัญหา หรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่นำมาสู่การกระทบกระทั่งระหว่างกันได้มากกว่า

Silent Treatment อาการผลักไสไล่ส่ง และลงโทษด้วยความเงียบงันที่อาจกลายเป็นความรุนแรงทางความรู้สึกและความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว

“แผ่นดินไหวทำให้รู้ว่าใครรักและเป็นห่วงเราบ้าง” / “เราเลิกกับแฟนเพราะแผ่นดินไหว” ในช่วงภาวะวิกฤตที่ผ่านมา มีทั้งคนใกล้ตัวเราและคนในโซเชียลมีเดีย ออกมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวเองว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ ทำให้ได้เรียนรู้อะไรอย่างมากในความสัมพันธ์

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS