‘Sadfishing’ หรือเทรนด์ ‘ดึงดราม่า’ เรียกยอดไลค์ ใช้ประโยชน์จากความเศร้าเพื่อจุดประสงค์บางอย่างเท่านั้น 

เทรนด์การแชร์ความเศร้าบนโลกออนไลน์ ช่วย normalize ปัญหาสุขภาพจิตได้ แต่ใช่จะไม่มีอันตรายเคลือบแฝง

อินสตาแกรมอาจเป็นพื้นที่สำหรับการแชร์เรื่องราวชีวิตดีๆ มาตั้งแต่มันถูกสร้างขึ้น แต่ภาพชีวิตประจำวันอันสมบูรณ์แบบและใบหน้าแห่งความสุขเพียงอย่างเดียว อาจเป็นเรื่องที่คนไม่อินขนาดนั้นแล้วสำหรับปี 2022ในช่วง 2-3 ปีมานี้ แพลตฟอร์มที่เคยใช้แสดงภาพชีวิตดีๆ เริ่มกลายเป็นพื้นที่แห่งการระบาย ‘ความเศร้า’ ยิ่งเมื่ออินฟลูเอนเซอร์เริ่มกันมายอมเผยด้านไม่สวยงามของตัวเองกันมากขึ้น อย่างถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือเคสของ เบลลา ฮาดิด (Bella Hadid) นางแบบระดับโลกวัย 25 ที่แชร์ภาพขณะกำลังร้องไห้ ระบายความรู้สึกของการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตตลอดหลายปีที่ผ่านมาของตัวเอง หรือนักร้องสาว ดูอา ลิปา (Dua Lipa) ที่ระเบิดน้ำตาขณะกำลังไลฟ์แบบไม่ทั้นตั้งตัว และคนดังอีกหลายคนที่ออกมาแชร์ความ ‘ไม่โอเค’ ของตัวเองผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนับว่าน่าสนใจที่เราจะได้เห็นหน้าฟีดโซเชียลมีเดียเปลี่ยนจากใบหน้าเป๊ะปังของคนดังมาเป็นใบหน้าเปื้อนน้ำตามากขึ้นเรื่อยๆ&nbsp;และเมื่อโซเชียลมีเดียกลายมาเป็น Emotional Support หรือที่พึ่งทางความรู้สึกให้กับคนยุคนี้ คำถามคือ มันเป็นเครื่องมือที่เฮลตี้ หรือแอบมีอันตรายแอบแฝงอยู่ไม่ใช่แค่อินสตาแกรมเท่านั้นที่คนดังหลายคนใช้เป็นพื้นที่แชร์ความรู้สึกเศร้าของตัวเอง ยังรวมถึงแอปฯ TikTok แพลตฟอร์มที่มีวัยรุ่นใช้งานมากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่ง ซึ่งคอนเทนต์ของบรรดาคนดังในลักษณะนี้ อาจทำให้เกิดการลอกเลียนแบบได้อย่างดายโรลา จาดาเยล (Rola Jadayel) นักวิชาการด้านโซเชียลมีเดีย มหาวิทยาลัยบาลามันด์ในเลบานอน กล่าวว่า วัยรุ่นที่ยังมีวุฒิภาวะไม่มากนักอาจคิดว่าปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือไบโพลาร์ เป็นเรื่องที่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกพิเศษ แตกต่าง และเป็นส่วนหนึ่งกับโลกโซเชียลฯ แต่ ‘ความรู้สึกเศร้า’ กับ ‘โรคซึมเศร้า’ นั้นคนละเรื่องกันหากมันกลายเป็นเทรนด์ที่ใครๆ สามารถอัปฯ รูปตัวเองร้องไห้ได้ในไม่กี่วินาที ก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะทำให้ผู้รับชมไม่สามารถแยกแยะคนที่กำลังเผชิญกับอาการของโรคจริงๆ และกำลังต้องการความช่วยเหลือได้อย่างในกรณีเคนดัล เจนเนอร์ (Kendall Jenner) ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้ออกมาโพสต์เล่าเรื่องการต่อสู้กับปัญหาผิวและความรู้สึกไม่เพอร์เฟกต์ของตัวเองผ่านอินสตาแกรม ซึ่งถ้าหากอ่านผ่านๆ ก็ดูเป็นคอนเทนต์ที่สร้างพลังสนับสนุนคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอได้เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้วโพสต์ดังกล่าวดันได้รับการสนับสนุนจากสถาบันดูแลผิวแห่งหนึ่งมาด้วย&nbsp;จากคอนเทนต์สร้างพลังจึงกลายเป็นคอนเทนต์ขายของ สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ขึ้นมาว่า ‘Sadfishing’ หรือเทรนด์ ‘ดึงดราม่า’ เรียกยอดไลค์ ใช้ประโยชน์จากความเศร้าเพื่อจุดประสงค์บางอย่างเท่านั้น&nbsp;ความอันตรายของเทรนด์ Sadfishing คือเมื่อมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ย่อมส่งผลโดยตรงต่อผู้เสพเนื้อหาที่ไม่สามารถแยกเเยะความจริงกับการโฆษณาชวนเชื่อได้ อีกทั้งยังทำให้คนที่กำลังต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตซึ่งต้องการพื้นที่ระบายออกจริงๆ อาจถูกเหมารวมว่าเรียกร้องความสนใจ โหนกระแส และไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ควรจะเป็น&nbsp;อีกแง่หนึ่ง ถึงแม้ว่าโซเชียลมีเดียในยุคนี้ จะอนุญาตให้เราเปิดอกพูดความรู้สึกไม่โอเคของตัวเองได้อย่างอิสระ ก่อนกดแชร์ เราอาจต้องกลับมาถามตัวเองก่อนว่ารับได้หรือไม่ หากภาพนั้นถูกแชร์ออกไปสู่สาธารณะ แล้วตามมาด้วยฟีดแบ็กที่ไม่สามารถควบคุมและคาดเดาได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ ทั้งในแง่การถูกตัดสินจากสังคม ถูกนำมาทำเป็นเรื่องขำขัน ถูกล้อเลียน หรือแย่กว่านั้นทั้งยังมีความอันตรายที่เคลือบแฝงมาในรูปแบบของ ‘คำแนะนำ’ จากคนทั่วไปซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือไม่ได้มีความเข้าใจมากพอ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอันตราย เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตแบบผิดๆ &nbsp;ร้ายกว่านั้น ฟีดแบ็กในทางลบอาจย้อนกลับมาทำให้คุณเกิดความรู้สึกแย่กว่าเดิมเสียอีก &nbsp;อย่างไรก็ตาม การแชร์ความรู้สึกเศร้าในโลกออนไลน์ก็ไม่ใช่ไม่มีข้อดีเสียทีเดียว เพราะมันเป็นเครื่องมือของคนยุคนี้ที่ใกล้ตัวที่สุดและง่ายที่สุด ซึ่งสำหรับบางคน การแชร์ความรู้สึกผ่านโซเชียลฯ กับใครที่ไม่รู้จักเลย อาจจะง่ายกว่าการเปิดอกพูดคุยกับคนรอบข้างในชีวิตจริงของเขาด้วยซ้ำ&nbsp;นักข่าววัย 25 รายหนึ่ง ผู้เคยแชร์ปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองผ่านโซเชียลฯ เปิดเผยกับเว็บไซต์ dazeddigital ว่า สำหรับคนที่ไม่รู้จะพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับใคร และการไปพบผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน จำเป็นมากที่โซเชียลมีเดียจะทำหน้าที่เป็น Emotional Support เพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่ามีคนรับฟัง และไม่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก&nbsp;ในแง่ของคนดัง การออกมาเปิดเผยด้านไม่สมบูรณ์แบบ เพื่อสื่อสารว่าพวกเขาเองก็ถูกคาดหวังจากโลกโซเชียลฯ ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ และไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอได้ในบางครั้ง (อย่างจริงใจ) ก็อาจช่วยสร้างกำลังใจดีๆ ให้กับใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต ความรู้สึกโดดเดี่ยว หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลกโซเชียลฯ ได้เหมือนกัน&nbsp;ข้อดีของวัฒนธรรมการแชร์ความเศร้าบนโลกออนไลน์อีกอย่างคือ ยิ่งเกิดการ ‘Come Out’ ออกไปมากเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะพูดถึงปัญหาของตัวเองมากขึ้น เปลี่ยนทัศนคติว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติที่คุยกันได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป และยังทำให้เกิดกลุ่มคนที่พร้อมเปิดกว้างรับฟังมากขึ้น เช่น Sad Girls Club กลุ่มไม่แสวงผลกำไรซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2 แสน คนใน Instagram ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้หญิงผิวสีและเยาวชนด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ&nbsp;ดร. อิซาเบล เจอร์ราด (Ysabel Gerrard) อาจารย์ด้านสื่อดิจิทัลและสังคม มหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ ประเทศอังกฤษ ผู้ทำการศึกษาผลกระทบระหว่างโซเชียลมีเดียกับสุขภาพจิต บอกว่า การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตในบางประเทศเป็นเรื่องไม่ง่าย แม้แต่ในอังกฤษเอง หากไม่มีเงินพอจะเข้ารับการปรึกษาแบบส่วนตัวจากผู้เชี่ยวชาญ ทำใจได้เลยว่าจะต้องเข้าคิวรอรับบริการจากรัฐฯ นานเท่าไรก็ไม่รู้&nbsp;&nbsp;ดร. เจอร์ราด มองว่ากลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ ถึงจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาโดยตรง แต่อย่างน้อยก็สามารถดูแลใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือในระดับเบื้องต้นได้&nbsp;สิ่งเหล่านี้ชวนให้ตั้งคำถามต่อไปว่า ถ้าหากโซเชียลมีเดียยังไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัยมากพอที่เราจะแชร์ภาวะสุขภาพจิตของตัวเองได้ขนาดนั้น บริการด้านสุขภาพจิตจากนักบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน และควรเป็นบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้และเข้าถึง ‘ง่าย’ กว่าที่เป็นอยู่หรือไม่&nbsp;ที่มา :&nbsp;https://mashable.com/article/anxiety-depression-social-media-sad-online&nbsp;https://www.dazeddigital.com/life-culture/article/55268/1/social-media-bella-hadid-mental-illness-sad-oversharing-instagram

เทรนด์ #womeninmalefields ที่ผู้หญิงหลายคนจำลองสถานการณ์ ว่าหากตัวเองที่เป็นผู้หญิงลองทำแบบเดียวกับที่แฟนหนุ่มหรือคนที่เคยเดตด้วยในอดีตทำบ้าง มันจะเป็นอย่างไร ซึ่งเทรนด์นี้ก็ได้กลายเป็นพื้นที่เพื่อนหญิงพลังหญิงมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์

#Womeninmalefields เทรนด์ไวรัลบน TikTok เมื่อผู้หญิงรวมใจกันจำลองวีรกรรมของผู้ชาย เพื่อให้รู้ว่าถ้าผู้หญิงเป็นฝ่ายทำบ้าง มันก็ไม่แฟร์กับคุณเหมือนกัน

เริ่ม 'งดน้ำตาล' ทีไร เขี้ยวก็เริ่มงอก หงุดหงิด วุ่นวายใจ และกลายร่างเป็นนางวีนขึ้นมาได้ ขณะที่บางครั้ง บางคนที่ติดกินของหวานมากเกินไป อยู่ดีๆ ระหว่างวันก็รู้สึกหดหู่ ซึมๆ เศร้าๆ เหนื่อยๆ ล้าๆ ตกลงจะเอายังไงดี ถ้าร่างกายจะเอาใจยากขนาดนี้!

งดน้ำตาลทีไร ทำไมต้องกลายร่างเป็นนางวีน! เข้าใจระดับน้ำตาลในเลือด ที่ส่งผลต่ออารมณ์สวิง คอนโทรลยาก และหากเราเสพติดน้ำตาลไปแล้ว ไม่กินแป๊บเดียว ก็อาจหดหู่ได้เลย

จากผลสำรวจล่าสุดในปีนี้ที่พบว่าคนเจนฯ Z กำลังมองหาความรักโรแมนติกและความสัมพันธ์ที่จริงจังยั่งยืนมากกว่าความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย โดยเฉพาะในโลกทุกวันนี้ที่พวกเขารู้สึกว่าทั้งไม่แน่นอนและไม่มั่นคง เทรนด์ของการเดตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ จึงอาจไม่ใช่การเดตที่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบของ Love at first sight หรือจะต้องเกิดสปาร์กไฟแล่บกันก่อนเสมอไป

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Mind

เทรนด์การแชร์ความเศร้าบนโลกออนไลน์ ช่วย normalize ปัญหาสุขภาพจิตได้ แต่ใช่จะไม่มีอันตรายเคลือบแฝง

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS