ทุกวันนี้มีเทรนด์การออกกำลังกายเกิดขึ้นมากมายให้คนที่ใส่ใจสุขภาพได้เลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด และหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลกตอนนี้ก็คือ Infrared Training หรือการออกกำลังกายภายใต้แสงอินฟาเรดซึ่งร่างกายจะสามารถรับเข้ามาในรูปแบบของคลื่นความร้อน 

Infrared Training เทรนด์ออกกำลังกายโดยใช้คลื่นความร้อนจากเเสงอินฟาเรด
ที่ช่วยในการเผาผลาญ เยียวยาอาการบาดเจ็บ ผ่อนคลายความเครียด และช่วยสร้างสมาธิได้ดีขึ้น 

ทุกวันนี้มีเทรนด์การออกกำลังกายเกิดขึ้นมากมายให้คนที่ใส่ใจสุขภาพได้เลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด และหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลกตอนนี้ก็คือ Infrared Training หรือการออกกำลังกายภายใต้แสงอินฟาเรดซึ่งร่างกายจะสามารถรับเข้ามาในรูปแบบของคลื่นความร้อน&nbsp;คลื่นความร้อนจากเเสงอินฟาเรด หรือ Far-infrared (FIR) ถูกนำมาใช้ในการออกกำลังกายและการฝึกเทรนนิ่งรูปแบบต่างๆ เพราะเชื่อว่ามีผลดีตรงที่สามารถช่วยในการ ‘เยียวยา’ เพราะส่งถึงร่างกายได้โดยตรง&nbsp;Infrared Training คืออะไรจริงๆ แล้ว Infrared Training ก็เหมือนกับการเข้าคลาสฟิตเนสเทรนนิ่งทั่วไป เพียงแค่ใช้แสงอินฟาเรดเพื่อเพิ่มอุณภูมิของห้องขณะเทรนนิ่งไปด้วย คล้ายๆ กับการที่เราฝึกโยคะร้อน แต่ Infrared Training เป็นการใช้ความร้อนจากแสงอินฟาเรดในระดับที่เหมาะสมแทนการใช้เครื่องทำความร้อนแบบดั้งเดิม เมื่อเเสงอินฟาเรดสัมผัสบนพื้นผิว หรืออุปกรณ์เทรนนิ่งต่างๆ ก็ทำให้ร่างกายของเรารู้สึกอุ่นเวลาสัมผัส แตกต่างจากการใช้ไอน้ำหรือลมร้อน เพราะแสงอินฟาเรดนั้นค่อนข้างได้ประสิทธิภาพ ที่สำคัญยัง Eco-friendly กว่าด้วย โดยไม่ทำลายสภาพอากาศของสถานที่ฝึกเทรนนิ่ง&nbsp;Infrared Training เหมาะกับการเทรนนิ่งแบบไหน&nbsp;ทุกวันนี้เเสงอินฟาเรดในคลาสเทรนนิ่งเริ่มถูกนำมาใช้กับการฝึกโยคะ รวมถึงรูปแบบการเทรนอื่นๆ เช่น พิลาทิส และ Barre Workout หรือการออกกำลังกายที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างท่าเต้นบัลเลต์ โยคะ พิลาทิส และ Body Weight Training เข้าด้วยกัน โดยใช้ราวบาร์เป็นอุปกรณ์หลักในการช่วยพยุงร่างกายและฝึกท่าทางต่างๆ&nbsp;นอกจากนั้น ในปัจจุบันแสงอินฟาเรดยังเป็นที่นิยมมากสำหรับคลาสเทรนนิ่งแบบ Light Resistance หรือการออกกำลังกายด้วยแรงต้านโดยใช้น้ำหนักหรือเครื่องมือช่วย เพื่อสร้างความแข็งแรงและเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ รวมถึงการเทรนนิ่งแบบไอโซเมตริก (Isometric Movement) การออกกำลังกายที่ให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวอยู่กับที่ ไม่เกิดการเคลื่อนไหว&nbsp;ประโยชน์ของ Infrared Training มีอะไรบ้างด้วยวิธีการที่เเสงอินฟาเรดทำงานกับร่างกายของเราโดยตรง และผิวหนังก็สามารถรับคลื่นความร้อนนี้ได้ดีคล้ายๆ กับการทำงานของแสงอาทิตย์กับร่างกายที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี มีผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกาย&nbsp;ความร้อนที่ได้จากแสงอินฟาเรดนี้เองที่จะช่วยทำให้ต่อมเหงื่อภายในร่างกายทำงานได้อย่างล้ำลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบการไหลเวียนเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บระหว่างออกกำลังกาย รวมถึงอาการบาดเจ็บ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการออกกำลังด้วย เนื่องจากกล้ามเนื้อของเราจะผ่อนคลายได้ดีมากกว่าตามอุณภูมิความร้อนจากแสงอินฟาเรด&nbsp;Infrared Training อีกหนึ่งเครื่องมือของการบำบัดเยียวยาแบบองค์รวม&nbsp;ข้อดีของการใช้ความร้อนของแสงอินฟาเรดยังสามารถช่วยให้ผู้ที่กำลังรักษาเยียวยาอาการบาดเจ็บฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและไม่ใช่แค่ร่างกาย ประโยชน์จากแสงอินฟาเรดยังมีผลต่อเรื่องของอารมณ์ด้วย เพราะอุณหภูมิความร้อนระหว่างการเทรนนิ่งจะช่วยเพิ่มสมาธิในการเคลื่อนไหว ให้เรากลับมา ‘โฟกัส’ ที่การเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจในขณะนั้นได้มากขึ้น เหมือนกับการปิดสวิตช์จากสิ่งรบกวนและความวุ่นวายภายนอก และเมื่อกล้ามเนื้อ ร่างกาย กับจิตใจค่อยๆ ผ่อนคลายจากความตึงเครียด ก็จะช่วยให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นในระยะยาว&nbsp;Infrared Training เหมาะกับใครบ้างEloise Skinner เทรนเนอร์และนักเขียน แนะนำว่าจริงๆ แล้วใครๆ ก็สามารถฝึก Infrared Training ได้ แต่ถ้าจะให้เหมาะก็น่าจะเป็นคนที่มีพื้นฐานการฝึกเทรนนิ่งรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ตัวเองถนัดมาก่อนบ้างแล้ว ในอุณหภูมิปกติ แล้วจึงค่อยๆ ขยับมาเป็นการเพิ่มอุณหภูมิความร้อนด้วยแสงอินฟาเรด&nbsp;นอกจากนั้นแล้ว ยังมีข้อยกเว้นอยู่บ้างตรงที่การออกกำลังกายภายใต้อินฟาเรดอาจไม่เหมาะกับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ หรือความดันโลหิตสูง ทางที่ดีผู้เชี่ยวชาญด้านฟิตเนสและเทรนนิ่งแนะนำว่าหากไม่มั่นใจว่า Infrared Training เหมาะกับตัวเองไหม ก็ควรปรึกษาแพทย์อีกครั้งเพื่อความปลอดภัยหากใครเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นฝึกภายใต้แสงอินฟาเรด ควรเริ่มจากการใช้ระบบแสงที่ปรับระดับให้เหมาะกับร่างกาย และเลือกระดับการเทรนนิ่งที่ไม่หนักเกินไป เพราะความร้อนที่มากเกินไปอาจไม่ได้ส่งผลต่อกล้ามเนื้อก็จริง แต่สามารถทำให้เกิดอาการหน้ามืด เวียนหัว คลื่นไส้ ขาดน้ำ รู้สึกง่วง อ่อนเพลีย และทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าระหว่างฝึกจากการสูญเสียของเหลวในร่างกายที่เร็วเกินไป&nbsp;ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิตเนสและเทรนนิ่งแนะนำด้วยว่า ควรเริ่มจากการฝึกในเวลาสั้น และฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้เวลาร่างกายได้ปรับตัว ที่สำคัญคือควรฝึกเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินและได้ประสิทธิภาพในระยะยาวด้วยเตรียมตัวอย่างไรก่อนเข้าคลาส Infrared Training-จิบน้ำบ่อยๆ ช้าๆ ก่อนเข้าคลาส ระหว่างฝึก และหลังจากการฝึกเพื่อให้ร่างกายไม่สูญเสียน้ำ สามารถกินอาหารเบาๆ รองท้องได้ แต่ไม่ควรกินอาหารหนักๆ ก่อนเข้าคลาส&nbsp;-หากใครเป็นคนเหงื่อออกมากอยู่แล้ว แนะนำให้ดื่มเกลือเเร่ร่วมด้วยหลังการฝึกเพื่อเพิ่มเกลือเเร่ให้ร่างกาย-อย่าลืมล้างตัวก่อนเข้าคลาส เพราะโลชั่นหรือ Oil ที่เราทาตัว จะเป็นตัวปิดกั้นไม่ให้ร่างกายระบายเหงื่อและความร้อนออกได้-สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเลือกฝึกในระยะเวลา 10-15 ต่อครั้ง และค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้นทีละนิด&nbsp;-อย่าลืม 3 สเต็ปสำคัญของการเทรนนิ่ง : Warm Up, Stretching และปิดท้ายด้วย Cool Down&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.stylist.co.uk/fitness-health/workouts/latest-fitness-trend-infrared-training-yoga-pilates/1016594" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.stylist.co.uk/fitness-health/workouts/latest-fitness-trend-infrared-training-yoga-pilates/1016594</a><a href="https://www.studio50fitness.com/blog/infrared-workout-benefits" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.studio50fitness.com/blog/infrared-workout-benefits</a>

7 ข้อแรกเป็นเวอร์ชั่นอเมริกันโดย Dr.Saundra Dalton-Smith แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะและความเป็นอยู่ ส่วนอีก 7 ข้อถัดมาเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นโดย Dr.Hideki Takano แห่งสมาคมการฟื้นฟูเยียวยาแห่งประเทศญี่ปุ่น 

ชวนดู ‘การพักผ่อน 7 แบบ’ เวอร์ชั่นอเมริกัน และ เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ที่จะทำให้เราได้ชาร์จพลังกายและใจแบบเต็มอิ่ม

เคยไหมที่บางครั้งรู้สึกหน่วงๆ ติดขัดกับความรู้สึก สิ่งที่เคยชอบทำ ทำแล้วรู้สึกดีมีความสุข อยู่ๆ ก็เหมือนว่ามันไม่ทำให้รู้สึกอะไรอีกต่อไป กิจกรรมที่เคยทำได้ง่ายๆ สบายๆ กลับต้องใช้ความพยายามและพลังงานมากขึ้นกว่าจะลากตัวเองขึ้นมาอย่างยากเย็นเพื่อทำให้สำเร็จ และบางครั้งความสามารถที่จะรู้สึกจอยกับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เคยทำให้เป็นสุขหรือทำให้อยากมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้

อยู่ๆ ที่เคยมีความสุข ก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว… 
รู้จัก Anhedonia ภาวะสิ้นยินดีที่ทำให้รู้สึกว่างเปล่า เฉยชา ไม่สามารถสัมผัสความสุขได้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยทางใจ 

โฮโบเซ็กชวล (Hobosexual) หมายถึงคนที่สร้างความสัมพันธ์รักโรแมนติกเพื่อที่อยู่อาศัย มักอ้างว่าพวกเขารู้สึกลึกซึ้งอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านอีกฝ่ายโดยเร็วที่สุด

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Health

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS