มีหลักฐานชัดเจนจากงานวิจัยว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงไทยไม่ยอมไปตรวจมะเร็งปากมดลูก เพราะไม่อยากพบ ‘หมอผู้ชาย’ นั่นแปลว่าความไม่สบายใจต่อผู้ชายส่งผลต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญ 

งานวิจัยพบ หญิงไทยไม่ไปตรวจมะเร็งปากมดลูก เพราะไม่อยากตรวจภายในกับ ‘หมอผู้ชาย’ ทำให้ หลายคนพลาดโอกาสในการรู้เท่าทันสุขภาพ

มีหลักฐานชัดเจนจากงานวิจัยว่า เหตุผลส่วนหนึ่งที่ผู้หญิงไทยไม่ยอมไปตรวจ<a href="https://mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81" rel="noopener noreferrer" target="_blank">มะเร็งปากมดลูก</a> เพราะไม่อยากพบ ‘หมอผู้ชาย’ นั่นแปลว่าความไม่สบายใจต่อผู้ชายส่งผลต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งหลายครั้งมีกรณีที่หมอสูติฯ ชาย ออกมาพูดจาล้อเลียนเรื่องอวัยวะเพศหญิงออกสื่อสาธารณะ ก็ยิ่งทำให้หลายคนรู้สึกเป็นกังวลที่จะเข้ารับการตรวจ รวมถึงหากมองให้กว้างขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็อาจเกี่ยวเนื่องกับชุดความคิดที่ส่งต่อกันมาถึงเรื่องค่านิยมความเป็นหญิง ที่รู้สึกเขินอายกับเพศตรงข้าม หรือไม่อนุญาตให้ผู้หญิงแสดงออกเรื่องเพศเท่าไร และมันส่งผลต่อการไม่กล้าจะไปให้หมอซึ่งเป็นผู้ชายเพื่อตรวจสุขภาพ จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่ามีเพียง 28.5% ของผู้หญิงไทยที่รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 ซึ่งมีอัตราการรอดชีวิตสูงที่สุด เท่ากับว่ามีหญิงไทยจำนวนหนึ่งที่ไปรู้เอาอีกทีตอนตัวเองเข้าสู่ระยะที่มีอันตรายมากขึ้น และพลาดโอกาสที่จะรักษาสุขภาพให้เท่าทัน รวมถึงการรอดชีวิต ยิ่งพอรู้เหตุผลของการพลาดโอกาสนั้น ก็นับว่าน่าเศร้าไม่ใช่น้อย โดย บีจีไอ จีโนมิกส์ (BGI Genomics) ได้เผยแพร่รายงาน State of Cervical Cancer Awareness Report in Thailand ที่ว่าด้วยความตระหนักรู้เรื่องมะเร็งปากมดลูกในไทย โดย BGI ได้ทำการสำรวจผู้หญิง 1,878 คน จาก 6 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีนแผ่นดินใหญ่ ซาอุดีอาระเบีย เซอร์เบีย ไทย และอุรุกวัย แม้จะพบว่าตัวเลขผู้หญิงไทย 18.8% ไม่เคยผ่านการตรวจมะเร็งปากมดลูกมาก่อน ซึ่งหากเทียบ 6 ประเทศแล้ว ประเทศไทยเราก็ถือว่ามีจำนวนน้อยกว่าเขา และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่อยู่ที่ 32.1% แต่ใช่ว่าน้อยกว่าเขา จะถือว่าดีแล้ว เพราะตราบใดที่ยังมีคนไม่เคยผ่านการตรวจมาก่อนอยู่ ก็นับว่ายังมีกำแพงในเรื่องการเข้าถึงอยู่ดี และเหตุผลที่ไม่เข้ารับการตรวจ 61.6% ของผู้หญิงไทยอายุ 21-25 ปี ไม่อยากเผชิญการพบ ‘หมอผู้ชาย’ ที่จะทำการตรวจด้วยวิธีแปปสเมียร์ (Pap Smear) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยใช้เครื่องมือสอดระหว่างถ่างช่องคลอด ก่อนจะทำการป้ายเซลล์จากมดลูกส่งตรวจหาสิ่งผิดปกติ อีกทั้งความตระหนักรู้เรื่องเชื้อ HPV ก็ส่งผลถึงอัตราการตรวจหามะเร็งปากมดลูกเหมือนกัน โดยพบว่าผู้หญิงที่ไม่ได้รู้ว่ามะเร็งปากมดลูกบ่อยครั้งเกิดจากเชื้อ HPV 39.1% จะไม่เคยตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับ global ที่อยู่ที่ 31.2% นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ผ่านการฉีดวัคซีน HPV 82.1% จะผ่านการตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยเช่นกัน ส่วนในกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน มี 60.6% ที่ผ่านการตรวจหามะเร็งปากมดลูก ขณะเดียวกันผู้หญิงที่ผ่านการตรวจมะเร็งปากมดลูก 45.8% ได้รับวัคซีน HPV ส่วนในกลุ่มที่ไม่ได้ผ่านการตรวจมะเร็งปากมดลูก มี 22.1% ที่ได้รับวัคซีน จากตัวเลขที่ว่ามาทั้งหมด ทำให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีความตระหนักรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเชื้อ HPV หรือมะเร็งปากมดลูก จะมีโอกาสเข้ารับการตรวจสุขภาพมากกว่า และอย่างที่บอกว่าสาเหตุหนึ่งที่ผู้หญิงไม่เข้าถึง หรือไม่ตระหนักรู้เรื่องสุขภาพตัวเอง เป็นเพราะความรู้สึกอายที่จะเข้าไปพบแพทย์ผู้ชาย ก็ถือเป็นปัญหาที่ควรแก้ไข และสร้างความเข้าใจกันใหม่ เพราะแม้ว่าปัจจุบันจะมีบางโรงพยาบาลที่สามารถรีเควสท์แพทย์ผู้หญิงได้ แต่บางสถานพยาบาลก็อาจจะแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น หรือคิวที่นานขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นอุปสรรคที่ควรกลับมาทบทวนกันใหม่ ท้ายที่สุด แพทย์ผู้ชายไม่ได้น่ากลัวทุกคน และสถานพยาบาลก็ควรมีแนวทางอบรม และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการให้เกียรติคนไข้หญิงที่เข้ารับบริการ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่หลายคนกังวล เพราะจริงๆ แล้วการตรวจภายในของผู้หญิง เป็นเรื่องสุขภาพที่เราควรเข้าถึง ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะนั่นเป็นเรื่องของสุขภาพของเราที่ควรให้ความสำคัญ ซึ่งเมื่อไปตรวจแล้ว อาจจะไม่ได้น่ากลัว หรือพบเจอประสบการณ์ไม่ดีอย่างที่คิดไว้ก็ได้ ส่วนใครที่เจอประสบการณ์ไม่ดี นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่เป็นความผิดของแพทย์คนนั้น อ้างอิง: <a href="https://finance.yahoo.com/news/61-6-percent-young-thai-003700501.html?guccounter=1&guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&guce_referrer_sig=AQAAABxxNOJaywKNsis9c4641amEhibFumdTemrNoENEF8MDze-sXtVunHnlVHeJaHHhRarpcZWMiYgpS4YTw245srOavfngwlI5Ox_bA7cThgGfQSC4EZ07ea0hAXBzuRlUo-2_VNJFnVqUAuoTRqV9DdZ42SabWOzVn813iaCy4Vx9" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://finance.yahoo.com/news/61-6-percent-young-thai-003700501.html?guccounter=1&amp;guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&amp;guce_referrer_sig=AQAAABxxNOJaywKNsis9c4641amEhibFumdTemrNoENEF8MDze-sXtVunHnlVHeJaHHhRarpcZWMiYgpS4YTw245srOavfngwlI5Ox_bA7cThgGfQSC4EZ07ea0hAXBzuRlUo-2_VNJFnVqUAuoTRqV9DdZ42SabWOzVn813iaCy4Vx9</a>

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘Imposter Syndrome’ หรือภาวะของคนที่ชอบคิดว่าตัวเองไม่เก่งกันมาก่อนหน้านี้ แต่ Imposter Syndrome ยังอาจกล่าวได้ว่ามีอะไรมากกว่าการคิดว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ดีพอ นั่นคือภาวะที่ทำให้เกิดความรู้สึกสงสัย เกิดการตั้งคำถามในคุณค่าของตัวเอง จนท้ายที่สุดอาจนำมาสู่ความรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ คล้ายกับว่าเราทำตัวตนหล่นหายได้เลยทีเดียว 

รู้จัก 5 รูปแบบของมนุษย์ที่เสี่ยงต่อภาวะ  Imposter Syndrome ที่ชอบคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพและสุขภาพจิตได้ในระยะยาว 

‘การกรีดร้องบำบัด’ ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น Therapeutic Emotional Release หรือการเยียวยาเพื่อปลดปล่อยทางอารมณ์วิธีหนึ่งเหมือนกัน

‘Screaming Therapy’ การกรีดร้องบำบัดที่ ตัวช่วยลดความเครียดแบบไวๆ ที่ทำง่ายและทำได้ทันที

เป็นเรื่องน่าสนใจที่ว่าทำไมการที่ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาหั่นผมสั้นหรือโกนผมตัวเองทิ้ง มักซ่อนความหมายในเชิงจิตวิทยาซึ่งเชื่อมโยงกับสภาวะทางจิตใจเอาไว้เสมอ

สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน เมื่อผู้หญิงโกนหัวหรือหั่นผม สัญลักษณ์ของการ ‘หลุดพ้น’ หรือ ‘เริ่มต้นใหม่’ จนถึงการพยายามดีลกับอะไรบางอย่างที่เรา Control อะไรแทบไม่ได้เลย

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Health

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS