เมื่อเดือนที่แล้ว Reebok ร่วมงานกับแบรนด์ชุดกีฬา Zappos Adaptive เ’ ออกแบบรองเท้าเพื่อให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย รวมถึงผู้พิการ สามารถใส่รองเท้าเล่นกีฬา และใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นเป็นครั้งแรก


เพราะคนพิการไม่ใช่เครื่องมือทางการตลาด!  ‘Reebok Fit to Fit’ สำหรับผู้มีข้อจำกัดทางร่างกาย  ไม่ใช่แค่ต้องใส่ง่าย แต่ราคาต้องเข้าถึงได้ด้วย

แวดวงงานออกแบบเพื่อคนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือ Accessible Design ยังคงมีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ ให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ อย่างเมื่อเดือนที่แล้ว Reebok ก็เพิ่งร่วมงานกับแบรนด์ชุดกีฬา Zappos Adaptive เจ้าของแนวคิด ‘ฟังก์ชันที่มาพร้อมกับแฟชั่นช่วยทำให้ชีวิตง่ายขึ้น’ ออกแบบรองเท้าเพื่อให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย รวมถึงผู้พิการ สามารถใส่รองเท้าเล่นกีฬา และใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้นเป็นครั้งแรก Reebok รุ่น Fit to Fit ที่ว่านี้ผลิตมาในรูปแบบของรองเท้าสนีกเกอร์ทรง Low-cut โดยเพิ่มพื้นผิวรองเท้าด้านล่างให้มีความขรุขระเพื่อความยึดเกาะมากขึ้น รวมถึงมีลิ้นรองเท้าที่สามารถใส่เสริมเข้าไปหรือถอดออกได้ เพื่อเพิ่มความกระชับมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มีโครงสร้างของเท้าผิดปกติ มีเท้าผิดรูป หรือผู้ที่ใส่ขาเทียม&nbsp;Reebok Fit to Fit ออกมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ Nanoflex Parafit TR ที่ตัวรองเท้าด้านบนทำจากผ้าตาข่าย ช่วยเพิ่มการระบายอากาศ และเพิ่มความยืดหยุ่นได้ดี เหมาะกับการใส่ในยิม หรือใส่เล่นกีฬา ส่วนอีกรุ่นคือ Club MEMT Parafit ที่วัสดุทำจากหนัง เหมาะกับใส่เป็นรองเท้าเทรนนิ่งทั่วไป หรือใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีจุดเด่นตรงที่มีซิปด้านข้างเพื่อให้คนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือผู้พิการง่ายในการใส่และถอดรองเท้าด้วยตัวเองแบบไม่ต้องกังวลกับการผูกเชือกรองเท้า ที่สำคัญยังออกแบบให้เป็น Unisex และยังสามารถซื้อได้ทั้งแบบเป็นคู่ หรือแบบข้างเดียวได้ด้วย&nbsp;เป็นครั้งแรกที่ Reebok พัฒนารองเท้าเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่เจ้าแรกเสียทีเดียวที่นำแนวคิดนี้มาใช้ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ แบรนด์กีฬายักษ์ใหญ่อย่าง Nike ก็เคยผลิตรองเท้า รุ่น Go FlyEase ที่เคลมว่าเป็น ‘100% Hands-free’ สามารถสวมได้แบบไม่ต้องใช้มือในการช่วยใส่รองเท้าเลย แต่กลับกลายเป็นว่าพอเปิดขายจริงโดนสับ ‘เละ’ จากกลุ่มลูกค้าผู้มีความบกพร่องทางร่างกายที่ตั้งตารอคอย เนื่องจากราคาของสนีกเกอร์รุ่นดังกล่าวอยู่ที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 พันกว่าบาท และในบางเว็บไซต์ก็มีพ่อค้าคนกลางนำไปปล่อยต่อที่ราคาสูงถึง 2 พันดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 7 หมื่นบาทกันเลยทีเดียว!&nbsp;ไม่เพียงราคาที่ค่อนข้างแรง แต่ยังผลิตในปริมาณที่จำกัด ผลเลยทำให้ Sold Out อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสินค้าที่ ‘Limited’ และ ‘Rare Item’ ไปโดยปริยาย โดยที่ไม่รู้ว่ารองเท้ารุ่น Go FlyEase ของ Nike จะไปถึงกลุ่มเป้าหมายหลักนั่นก็คือผู้มีความบกพร่องทางร่างกาย รวมถึงกลุ่มผู้พิการจริงๆ มากน้อยแค่ไหนขณะที่สนนราคารองเท้า Reebok Fit to Fit นั้นเริ่มต้นที่ 65-90 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2-3 พันบาทไทยเท่านั้น ซึ่งหากการตั้งราคาแบบนี้ไม่ใช่กลยุทธ์การตัดราคากันเองของแบรนด์กีฬา ก็น่าสนใจว่าต่อไปแบรนด์เหล่านี้จะไปทำการบ้านมาใหม่แล้วกลับมาแข่งกันทำให้สินค้าของพวกเขาเป็น ‘Accessible Design’ ที่เข้าถึงคนกลุ่มที่มีความหลากหลายอย่างแท้จริงได้อย่างไรต่อไปอย่างน้อยก็เป็นกรณีศึกษาว่า Accessible Design เพื่อคนพิการ นอกจากเรื่องของนวัตกรรมที่ต้องไปต่อแล้ว มันก็ไม่ควรเป็นแค่คอนเซปต์สวยหรู หรือเครื่องมือทางการตลาดของแบรนด์ใหญ่ๆ เท่านั้น แต่เมื่อเคลมแล้วว่าสามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่ม ก็ควรจะเข้าถึงได้ ‘จริง’ และเข้าถึงได้ ‘ง่าย’ ด้วยเช่นกัน&nbsp;ที่มา : https://www.inputmag.com/style/reebok-launches-fit-to-fit-its-own-accessible-sneaker-collectionhttps://sneakernews.com/2022/05/20/reebok-adaptive-fit-shoes-fit-to-fit-release-date/https://www.inputmag.com/style/nike-go-flyease-hands-free-shoes-sneakers-limited-reselling-disabled-community-tiktok-video

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ในหลายๆ สังคมจะค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศ ไปจนถึงการสมรสอย่างเท่าเทียมกันของคนทุกเพศมากขึ้น แต่กระแสหนึ่งจากโลกโซเชียลฯ เมื่อไม่นานมานี้เองที่หลายคนพูดถึงการแต่งงานแบบที่เรียกว่า Lavender Marriage จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของความสัมพันธ์ในยุคนี้ ซึ่งเราว่าทั้งน่าสนใจและน่าตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งถึงกลับไปให้คุณค่าและโอบรับกับสิ่งนี้กันนะ 

Lavender Marriage เมื่อคนเพศหลากหลายเลือกแต่งงานตามเพศกำเนิด
ไม่ใช่แค่เพื่อปิดบังความเควียร์ 
แต่ยังเป็น ‘ทางเลือก’ ใหม่ๆ ที่อาจตอบโจทย์รูปแบบความสัมพันธ์ในโลกยากๆ ใบนี้

สถานการณ์ ‘หวั่นไหวกับคนอื่น ทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว’ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในซีรีส์เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตจริงด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ตอนจบของเรื่องราวนี้อาจไม่ได้สวยงามเหมือนในซีรีส์ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะเลือกเส้นทางไหน และจัดการความรู้สึกหวั่นไหวนั้นอย่างไร? ชวนกลับมาทบทวนความสัมพันธ์และความรู้สึกของตนเอง ผ่านทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก

‘มีแฟนอยู่แล้ว แต่กลับหวั่นไหวกับคนอื่น’ ชวนทบทวนความรู้สึก เพื่อขีดเส้นความสัมพันธ์ ผ่านบทเรียนจากซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน Mad Unicorn’ ด้วยทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก (Triangular Theory of Love)​​

จากกระแสของมินิซีรีส์แนวอาชญากรรมเรื่อง Adolescence (2025) เมื่อไม่นานมานี้เองที่ทำให้หลายคนได้รู้จักกับคำว่า Incels ที่ย่อมาจาก Involuntary Celibate หมายถึงกลุ่มของชายหนุ่มที่ไม่ได้เต็มใจจะโสด อยากมีแฟน มีควาสัมพันธ์เชิงรักโรแมนติกหรือเซ็กชวลกับใครสักคน แต่ดันเป็นคนที่ไม่ได้ถูกเลือก เลยทำให้ไม่สามารถมีความสัมพันธ์อะไรทั้งหมดที่ว่ามาได้ และบางคนก็พาลเกลียดผู้หญิงด้วยเหตุนี้

ไม่ได้อยากโสด แต่การมีแฟนมันยากเกินไป! ชวนรู้จัก Femcels คอมมูฯ ของผู้หญิงที่ไม่ได้ ‘เลือก’ จะโสด แต่กำลังเผชิญความยากในการพบความสัมพันธ์ที่ใช่
และอยากแชร์ความทุกข์-ส่งกำลังใจให้กันและกัน 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Health

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS