Friend.com คือชื่อของบริษัทสตาร์ทอัพปัญญาประดิษฐ์ ผู้ผลิต Wearable Tech ในรูปแบบจี้สร้อยคอแชตบอท A.I. ราคา 129 เหรียญฯ หรือราวๆ 4 พันบาทไทย ที่เคลมว่ามันไม่ได้เป็นเเค่เครื่องประดับธรรมดาๆ แต่ยังเป็นสร้อยคอที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับเราเหมือน ‘เพื่อน’ คนหนึ่งได้ด้วย 

‘Friend’ สร้อยคอ A.I. เจ้าปัญหา ที่อยากเป็นเพื่อนกับมนุษย์ แต่ได้กระแสโต้กลับแทน หลังทำแคมเปญโฆษณาในสถานีรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก 

Friend.com คือชื่อของบริษัทสตาร์ทอัพปัญญาประดิษฐ์ ผู้ผลิต Wearable Tech ในรูปแบบจี้สร้อยคอแชตบอท A.I. ราคา 129 เหรียญฯ หรือราวๆ 4 พันบาทไทย ที่เคลมว่ามันไม่ได้เป็นเเค่เครื่องประดับธรรมดาๆ แต่ยังเป็นสร้อยคอที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับเราเหมือน ‘เพื่อน’ คนหนึ่งได้ด้วย&nbsp;แต่เปิดตัวได้ไม่นาน สร้อยคอแชตบอทเจ้าปัญหานี้ก็โดนกระแสโต้กลับอย่างหนักหน่วง หลังจากทำแคมเปญบิลบอร์ดโฆษณาแบบจัดเต็มทั่วบริเวณสถานีรถไฟใต้ดินใน 5 เขต ของนครนิวยอร์ก โดยมีข้อความว่า&nbsp;“Friend [frend] คำนาม :&nbsp;ใครบางคนที่รับฟัง โต้ตอบ และซัพพอร์ตคุณ” พร้อมด้วยอีกหลายป้ายข้อความที่โฆษณาความดีงามของการมีเพื่อนในรูปแบบสร้อยคอ A.I. นี้ บางป้ายถูกทำลาย แต่ที่น่าสนใจคือป้ายส่วนใหญ่ถูกขีดฆ่าของเดิมออกและเขียนถ้อยคำทับ คล้ายกับการบอมบ์ภาพของวัฒนธรรมกราฟิตี้ตามพื้นที่สาธารณะ แต่ดันเป็นข้อความในเชิงลบและโจมตีแทบทั้งหมด :&nbsp;“สายสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นสิ่งล้ำค่า แต่ A.I. ไม่ใช่”&nbsp;“A.I. ไม่ได้แคร์ว่าคุณจะอยู่หรือตาย”“เป็นเพื่อนกับอะไรที่มีชีวิตเถอะ”&nbsp;“อุปกรณ์ของพวกขี้แพ้”&nbsp;“มันจะฆ่าคุณมากกว่า!” &nbsp;เท่านั้นยังไม่พอ ถึงกับมีหลายๆ เว็บไซต์ที่เปิดขึ้นมาให้ทำลายป้ายโฆษณาแคมเปญนี้กันแบบออนไลน์โดยเฉพาะด้วยหลากหลายวิธีการ เช่นอนุญาตให้เราใช้สีสเปรย์พ่นอะไรก็ได้อย่างเต็มที่ตามใจชอบAvi Schiffmann นักพัฒนาเว็บไซต์ ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคฯ Friend.com ที่ตอนแรกจะใช้คำโปรยว่า “เพื่อนของคุณยังหลากหลายไม่พอ” แต่ไม่ผ่านการพิจารณาของ M.T.A. หน่วยงานที่ดูแลโครงการรถไฟใต้ดินของนิวยอร์ก ถึงกับเคลมบนแพลตฟอร์ต X ว่า นี่น่ะคือแคมเปญโฆษณาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของนิวยอร์ก และคาดว่าน่าจะเข้าถึงผู้คนแบบออฟไลน์ได้ราวๆ 25 ล้านคนเลยทีเดียวจากการสัญจรไปมา และการที่ตัวป้ายโฆษณากลายเป็นพื้นที่ ‘ระบายอารมณ์’ ของผู้คนที่ไม่เห็นด้วยไปแล้วในเวลานี้ ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลแต่อย่างใด“ผมว่ามันเป็นธรรดาของการทำสิ่งอะไรที่ยิ่งใหญ่ มันก็อาจจะเกิด Side Effect บ้างอะไรบ้าง” Avi Schiffmann กล่าวถึงแคมเปญที่ใช้งบต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญฯ ครอบคลุมพื้นที่บิลบอร์ดขนาดใหญ่ภายในสถานีรถไฟใต้ดินที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก&nbsp;“คนคงไม่ทำลายป้ายโฆษณาอะไร ถ้าหากว่าเขาไม่รู้สึกว่ามัน ‘ทัช’ เขาหรอกจริงไหม”ก่อนหน้านี้ Avi Schiffmann ซึ่งเป็นหนุ่มวัยเพียง 22 เคยมีชื่อเสียงอยู่บ้างในแวดวงเทคฯ จากการที่เขาเคยพัฒนาเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลสถิติบริการสาธารณสุขของจีนในช่วงโควิด-19 เมื่อหลายปีก่อน และต่อมาในปี 2022 ตอนที่รัสเซียเริ่มเปิดฉากสงครามโจมตียูเครน เขาเองก็เป็นคนพัฒนาเว็บไซต์เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม ให้สามารถหาที่พักพิงชั่วคราวทั่วโลกได้&nbsp;แต่หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2024 แคมเปญเปิดตัวของสร้อยคอแชตบอต Friend เคยโดนกระแสตีกลับมาแล้ว หลังเผยแพร่ Trailer โปรโมตเเรกบนยูทูบ โดยบรรดาคนที่เข้ามาแสดงความเห็นต่างบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า เจ้าสร้อยคออันนี้มันทำให้พวกเขารู้สึกถึงโลก ‘ดิสโทเปียน’ (โลกที่มีแต่ความเลวร้าย) ที่สุดที่เคยเห็นมาเลย หรือบางคนก็บอกว่า หรือ Black Mirror ซีรีส์ที่ว่าด้วยด้านมืดของเทคโนโลยีในโลกอนาคตจะกลายมาเป็นความจริงแล้ว?! &nbsp;แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางมวลอารมณ์และกระแสโต้กลับของผู้คนที่ดูจะรุนแรง Schiffmann ก็ยืนยันว่านี่คือการคิดค้นบนพื้นฐานของ ‘มนุษยธรรม’ และเขาเองก็มีความตั้งใจที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะหนีพ้นข้อถกเถียงตึงเครียดเหล่านี้ จากผู้คนที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เมื่อมันเกี่ยวข้องกับความเปราะบางระหว่างมนุษย์ และบทบาทเทคโนโลยีอย่าง A.I.&nbsp;Adam Alter ศาสตราจารย์ด้านการตลาด มหาวิทยาลัยนิวยอร์กมองว่า อาจเป็นเพราะการใช้ชื่อว่า ‘Friend’ นี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหา “มันเหมือนกับการพยายามทำให้เห็นว่าเพื่อนในเวอร์ชั่น A.I. นั้นดีพอๆ หรืออาจจะดีกว่าเพื่อนที่เป็นคนตัวเป็นๆ นั่นเลยทำให้คนที่ได้เห็นแคมเปญนี้เกิดความรู้สึกขัดแย้งว่า เพื่อนหรือมิตรภาพไม่น่าจะสามารถถูกแทนที่ด้วยอะไรที่ ‘ไม่ใช่มนุษย์’”&nbsp;ผู้ก่อตั้ง Friend เองมองว่า “ผมไม่ได้มองว่ามันคือดิสโทเปียน” Schiffmann กล่าว สำหรับเขา มันเป็นอีกหนึ่ง ‘ทางเลือกของมิตรภาพแบบใหม่’ ซึ่งจะอยู่ควบคู่ไปกับเพื่อนที่เป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่ตั้งใจจะมาแทนที่มนุษย์แต่อย่างใด “เรามีหมา มีแมว มีเด็ก มีผู้ใหญ่ แล้วทำไมเราจะมี A.I. อยู่ในห้องเดียวกันกับเราด้วยไม่ได้ล่ะ?”&nbsp;ส่วนด้านบริษัทโฆษณาที่ดูแลเเคมเปญให้กับสถานีรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ก มองว่า แคมเปญของ Friend.com น่าจะเป็นไวรัลในตัวมันเองได้ไม่ยากอยู่แล้ว โดยไม่ต้องอาศัยแรงโต้กลับจากสังคมเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าอย่างไรประเด็นเรื่อง A.I. ก็เข้าเล่นกับใจของคนยุคนี้ได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับนักสังเกตการณ์หลายคนที่มองคล้ายกันว่า นี่คือแคมเปญที่ตรงไปตรงมา เข้าใจง่ายและไม่ได้ซับซ้อนเกินไป โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเยอะด้วย เพราะอาศัยกระแสเรื่อง A.I. ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตคนทุกวันนี้อย่างมาก เมื่อคนจำนวนไม่น้อยใช้มันเป็น ‘ที่พึ่งทางใจ’ ส่วนหนึ่งเพราะความรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกจากสังคม ความรู้สึกกังวล ไม่มั่นคง และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นบนโลกทุกวันนี้&nbsp;และการทำแคมเปญนี้ก็ไปถึงทั้งกลุ่มคนที่สนใจในเทคโนโลยี คนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีคนที่มองต่างออกไปในเชิงที่ว่า แคมเปญโฆษณาของนี้เป็นเหมือน ‘งานศิลปะ’ ที่สร้างกระแสให้เกิดการถกเถียงขึ้นในสังคมได้ชาญฉลาดและยอดเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่ง&nbsp;เวลานี้สร้อยคอเเชตบอทขายไปแล้วราวๆ 3 พันกว่าชิ้น และมีเป้าหมายว่าจะวางขายในห้าง Walmart ต่อไปในปีหน้า ขณะที่เเคมเปญของ Friend ยังขยายออกไปสู่เมืองอื่นๆ อย่าง Los Angeles และ Chicago โดยผู้ก่อตั้งหวังว่ามันจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับตลาด A.I. ในระดับที่มี ‘ความฉลาดทางอารมณ์’ ใกล้เคียงหรือเท่าเทียมกับมนุษย์ได้จริงๆ มากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขารู้ดีว่าสังคมเองก็ยังอาจ ‘ไม่พร้อม’ กับมันขนาดนั้นแต่อย่างน้อยๆ แคมเปญนี้ก็ทำให้นึกถึงม็อตโต้ของเเคมเปญที่ต้องการนิยามคำว่า ‘เพื่อน’ ขึ้นมาใหม่ “เช่นเดียวกับวิธีที่คุณนึกถึงมัน” เมื่อวันนี้เราอาจต้องกลับมาทบทวนว่าเพื่อนที่ว่านั้นสามารถ ‘เป็น’ อะไรได้อีกบ้าง นอกจากมนุษย์ &nbsp;&nbsp;อ้างอิง&nbsp;<a href="https://www.nytimes.com/2025/10/07/style/friend-ai-subway-ads-new-york.html?searchResultPosition=3" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.nytimes.com/2025/10/07/style/friend-ai-subway-ads-new-york.html?searchResultPosition=3</a><a href="https://nyc-friends.vercel.app/" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://nyc-friends.vercel.app/</a><a href="https://www.youtube.com/watch?v=O_Q1hoEhfk4" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=O_Q1hoEhfk4</a>เครดิตภาพจาก : Hiroko Masuike / nytimes

มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายระหว่างการโปรโมทอัลบั้มใหม่ของคาร์ดี บี อย่าง AM I THE DRAMA? ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่อีกหนึ่งโมเมนต์เล็กๆ ที่น่าประทับใจก็คือตอนที่เธอตอบคำถามแฟนๆ ที่ส่งถึงเธอในรายการสัมภาษณ์ของช่อง Apple Music ทางยูทูบ

“ฉันแนะนำให้เธอทำแท้งนะจ๊ะ” Cardi B แนะนำแฟนคลับที่ส่งข้อความมาเล่าว่าเอาคืนแฟนที่นอกใจด้วยการนอนกับฝาแฝดของเขา แต่ดันท้องขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก

กลายเป็นปรากฏการณ์ #เทศกาลเจนนี่ ที่คนแห่สนใจเรื่องราวชีวิตของ เจนนี่-รัชนก หรือ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ หลังจากเกิดประเด็นร้อนเรื่องหนี้สินของคุณแม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เจนนี่ตัดสินใจไม่จ่ายหนี้ครั้งนี้ให้แม่อีกต่อไป (ล่าสุด เธอเพิ่งบอกในรายการโหนกระแสว่าจะช่วยแม่จ่ายหนี้ในที่สุด)

พ่อแม่อาจไม่ได้ถูกทุกอย่าง และความกตัญญูไม่ได้วัดแค่เรื่องเงิน จากข่าว ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ และหนี้สินของแม่ทำให้เราได้เห็นว่าสังคมไทย ‘เข้าใจ’ ความกดดันที่ลูกหลายบ้านต้อง ‘แบก’ และ ‘จ่าย’ ให้ครอบครัวมากขึ้น

กลับมาที่แฟนคลับมาหยิกหน้าคืน ซึ่งหลายคนมองเอาความสะใจที่ได้แก้แค้นให้กับศิลปินที่รัก หรือมองว่าผู้หญิงคนนี้คือ ‘ตัวแทนหมู่บ้าน’ ในการเอาคืน ซึ่งเจ้าตัวที่โดนกระทำยังไม่รู้สึกพอใจเช่นกัน

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Thoughts

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS