คำตอบจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Barack Obama สำหรับพอดแคสต์รายการ IMO จากช่องของ Michelle Obama คือเขาคิดว่า ผู้ชายควรมีเพื่อนผู้ชายที่เป็น ‘เกย์’ บ้าง เพื่อให้เข้าใจถึงความหลากหลายของความเป็นชายที่ไม่ได้เป็นแค่แบบใดแบบหนึ่งอย่างที่ถูกปลูกฝังกันมา และตัวเขาเองก็เล่าว่า เพื่อนที่เป็นเกย์อาจมีส่วนทำให้ผู้ชายบางคนกล้าที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึก มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และใจดีมากขึ้น ถ้าได้เห็น role model ความเป็นชายหลากหลายแบบ

Barack Obama มองว่าผู้ชายควรมีเพื่อนที่เป็น ‘เกย์’ บ้าง จะได้เข้าใจถึงความหลากหลายของความเป็นชาย และตระหนักว่าผู้ชายสามารถเปิดเผยความรู้สึกที่เปราะบางได้

ยอดวิวแตะหลักล้านภายในไม่กี่วัน สำหรับพอดแคสต์รายการ IMO จากช่องของ Michelle Obama ที่เธอชวนสามีผู้เป็นอดีตประธานาธิบดีแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกของสหรัฐฯ ‘Barack Obama’ มาร่วมโต๊ะพูดคุยกับเธอและ Craig Robinson พี่ชายของมิเชล ซึ่งนอกจากจะเป็นการยืนยันว่าข่าวลือบนโซเชียลฯ ที่ซุบซิบกันว่าเธอกับโอบามาเลิกกันแล้ว ‘ไม่เป็นความจริง’ ประเด็นหลักที่คุยกันในรายการโดยมีชื่อ episode ว่า ‘BARACK OBAMA on What It Takes to Raise Boys and How Michelle Made Parenting Better’ หรือการพูดถึงข้อเสนอแนะในการเลี้ยงดูเด็กผู้ชาย และการเลี้ยงดูลูก ก็มีช่วงหนึ่งในบทสนทนาที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะโอบามาได้พูดถึงภาพรวมของเด็กผู้ชายและผู้ชายที่โตมากับแนวคิดความเป็นชายอันเข้มข้น ซึ่งอาจทำให้พวกเขาติดอยู่ในกรอบบางอย่าง และบางส่วนอาจไม่กล้าจะ ‘แสดงความรู้สึก’ ของตัวเองออกมาเท่าที่ควร หรืออาจขาดความเห็นอกเห็นใจ หากไม่ได้เข้าใจ ‘ความหลากหลาย’ ของผู้ชายซึ่งคำตอบจากประสบการณ์ส่วนตัวของโอบามา ที่กลายเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ คือเขาคิดว่า ผู้ชายควรมีเพื่อนผู้ชายที่เป็น ‘เกย์’ บ้าง เพื่อให้เข้าใจถึงความหลากหลายของความเป็นชายที่ไม่ได้เป็นแค่แบบใดแบบหนึ่งอย่างที่ถูกปลูกฝังกันมานานว่า “ผู้ชายควรจะเป็นอย่างไร” และตัวเขาเองก็เล่าว่า เพื่อนที่เป็นเกย์อาจมีส่วนทำให้ผู้ชายบางคนกล้าที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึก มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และใจดีมากขึ้น ถ้าได้เห็น role model ความเป็นชายหลากหลายแบบ โดยบทสนทนาเริ่มต้นจากการที่มีคุณแม่มือใหม่คนหนึ่งที่ชื่อ Emma ส่งคำถามถามเข้ามาถึงวิธีการเลี้ยงลูกชายให้มีความฉลาดทางอารมณ์&nbsp;โอบามาเล่าว่าตอนเริ่มเดตกับมิเชลใหม่ๆ สิ่งที่เขาชอบคือการได้เห็นบรรดาญาติๆ ของมิเชลที่มีความแตกต่างกัน “มีทั้งผู้ชายที่พูดจานุ่มนวล มีทั้งผู้ชายที่พูดจาเสียงดัง มีผู้ชายที่เป็นวิศวกร มีผู้ชายที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีผู้ชายที่ขับรถจี๊ป และนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าหลายๆ ครั้งก็จำเป็นต่อเด็กๆ ผู้ชาย การได้เห็นภาพที่ไม่ใช่แค่ผู้ชายคนเดียว พ่อคนเดียว และไม่ว่าพ่อจะดีแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้” เพราะเด็กๆ ควรได้เห็นมุมมองต่างๆ บนโลก ที่มาจากคนอื่นๆ ในชีวิตด้วย ไม่ใช่หยุดแค่การเชื่อฟังพ่อแม่อย่างเดียว (พ่อแม่อาจมีบางมุมที่ไม่ได้กว้างพอก็ได้) โอบามาเสริมว่า “หนึ่งสิ่งที่มีค่าสำหรับผมที่สุดซึ่งผมได้เรียนรู้ คือการได้มีอาจารย์ที่เป็นเกย์ในวิทยาลัย…เขาเป็นอาจารย์คนโปรดของผม เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมและช่วยให้ผมตระหนักรู้ตอนที่ผมเริ่มพูดอะไรที่มันขาดความตระหนักรู้ นั่นแหละครับ คุณต้องการอะไรแบบนั้น เพื่อให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจและความใจดี อนึ่งคุณต้องการคนแบบนั้นในกลุ่มเพื่อน หากมีผู้ชายที่เป็นเกย์หรือนอนไบนารี่อยู่ด้วย อาจช่วยให้มีใครสักคนที่ทำให้รู้สึกว่า 'ฉันไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงนี้' การสร้างคอมมูนิตี้ตรงนี้ มันอาจจะฟังดูเชยๆ แต่นั่นยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อพวกเขา”เนื่องจากบางครั้งภายในกลุ่มชายแท้ ก็มีแนวคิดที่แฝงไปด้วยการบังคับตัวเองให้ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ต้องเป็นจ่าฝูง ห้ามแสดงความอ่อนไหว การที่ผู้ชายได้เห็นว่าผู้ชายนั้นมีความหลากหลาย แสดงความรู้สึกได้ ร้องไห้ได้ จึงนับว่าสำคัญ และคุณสมบัติของผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในกรอบความเป็นชายที่ท็อกซิก ก็มักจะเป็นคนที่เป็นเกย์ ผู้ซึ่งกล้าที่จะเป็นตัวเองท่ามกลางสังคมที่กรอบความเป็นชายมีอย่างแน่นหนาแม้ตัวโอบามาจะเติบโตขึ้นมาโดยปราศจากคุณพ่อ แต่เขาก็ได้อิทธิพลจากแนวคิดเรื่องความเป็นชายมาอยู่ดี เขาเล่าว่า “ตอนผมยังเด็ก มันมีความคิดแค่ว่า เป็นผู้ชายต้องแข็งแกร่ง เป็นผู้ชายห้ามงอแง ต้องถึกทน” ซึ่งเขาคิดว่า “นิยามความเป็นชายบางอย่างมันก็เป็นในเชิงลบนะครับ การห้ามงอแง ห้ามร้องไห้ ห้ามเซ่อซ่า” ที่ตามมาด้วยไอเดียของการเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใคร สามารถจัดการทุกอย่างบนโลกได้ “เป็น protecter แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ เช่น หาเก้าอี้ให้ใครสักคน เปิดประตูให้ ยืนขึ้นเมื่ออยู่บนรถบัส เพื่อให้คนอื่นนั่งแทน”ถึงอย่างนั้น การเติบโตมากับคุณแม่ก็ให้แง่คิดบางอย่างกับโอบามา เพราะ “เธอจะพูดกับผมเยอะมากถึงความรู้สึกของเธอ ในทางเดียวกัน ผมก็สามารถคุยกับเธอถึงเรื่องความรู้สึกได้ และผมคิดว่าผมได้พัฒนาข้างในมาจากตรงนี้ด้วย รวมถึงชื่อเสียงความเนิร์ดที่ภรรยาชอบล้อผม แต่หนังสือได้สอนผมมากมายเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ ไม่ว่าจะการได้อ่าน การได้ดูหนัง หรือรายการทีวี ฯลฯ”ดังนั้น ขณะที่ภาพความเป็นชายยังผูกติดอยู่กับบทบาททางเพศบางอย่างอยู่ สิ่งสำคัญจึงอาจเป็นการหาวิธีพูดคุยและแบ่งปันความรู้สึกกับพวกเขามากขึ้น ซึ่งทำได้ทั้งคนในครอบครัว คนรอบข้าง และคนในสังคม ที่สามารถช่วยกันได้ เพราะการที่เด็กผู้ชายเติบโตขึ้นมาโดยเข้าใจความหลากหลายทางอารมณ์และความหลากหลายของผู้คนผ่านภาพความเป็นชายที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่แบบใดแบบเดียว ก็มีส่วนช่วยให้เขาสามารถอยู่ร่วมกับคนเพศอื่นๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น และอาจช่วยลดปัญหาทางสุขภาพจิต หรือปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากความคิดชายเป็นใหญ่ที่ถูกปลูกฝังได้เช่นเดียวกันมีประโยคหนึ่งของมิเชลที่เราคิดว่าน่าคิดตาม คือสิ่งที่เธออยากบอกกับเอ็มมาว่า “ฉันจะบอกเอ็มมาว่า อย่าคิดเอาเองว่าลูกชายของคุณควรจะเป็นตามแบบแผนความเป็นชายบางอย่าง หรือแบบที่คุณคิดว่าเขาควรจะเป็น ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาแสดงให้คุณเห็นว่าจริงๆ เขาเป็นยังไงดีกว่าค่ะ” เพราะไม่จำเป็นต้องคาดหวังว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำ ห้ามร้องไห้ ต้องเข้มแข็ง หรือห้ามเป็นไหนสักแบบที่บางคนคิดว่า ‘ไม่แมน’ เพราะความรู้สึกของผู้ชายก็สำคัญ ที่เขาควรได้เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ต้องแบกความคาดหวังจนอาจกลายเป็นความท็อกซิกกับตัวเองและผู้อื่นใครอยากฟังบทสนทนานี้เต็มๆ สามารถฟังได้ที่ <a href="https://youtu.be/bmzXnbAMmOM?si=PZRg2OAO8O9OmNlV" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://youtu.be/bmzXnbAMmOM?si=PZRg2OAO8O9OmNlV&nbsp;</a>

‘คลินิกไม่อยากไปทำงาน’ (Dislike Going to Work Clinic) มีเป้าหมายเพื่อบำบัดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน โดยตั้งใจออกแบบชื่อคลินิกให้เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่รู้สึกกดดัน อับอาย และถูกสังคมรอบข้างตีตราจากการรักษาทางจิตเวช

‘Dislike Going to Work Clinic’ รพ.จีนเปิด ‘คลินิกไม่อยากไปทำงาน’ รับมือความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เมื่อการเป็นผู้ใหญ่ทำให้หลายคนรู้สึกหมดแพสชัน เหนื่อยล้า และมองไม่เห็นคุณค่าในการทำงาน

เมื่อต้นเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ศาลสูงรัฐเทนเนสซีของอเมริกา เพิ่งยกเลิกระบบให้บริการการดูแลเพื่อยืนยันเพศสภาพ (Gender-affirming care) สำหรับผู้เยาว์ที่ต้องการข้ามเพศ และไม่นานหลังจากนั้น คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ยังตัดงบประมาณบริการสายด่วนสุขภาพจิตสำหรับ LGBTQ+ ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม ที่ผ่านมานี้ด้วย 

ผลพวงจากการยกเลิกบริการสายด่วนสุขภาพจิตในอเมริกา อาจนำมาสู่วิกฤติการฆ่าตัวตายของเด็กๆ และเยาวชน LGBTQ+ มากกว่าเดิม

คุยกับนิศาชล อัศวธาระกุล นักจิตวิทยา ว่าด้วยเรื่อง Dilemma Question ที่จะนำไปสู่การค้นหาเหตุผลเบื้องหลังการเลือก และสร้างครอบครัวให้รอดไปด้วยกัน

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Thoughts

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS