จากผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัย King’s Collegeในลอนดอน ที่ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้ชายเจน Z ช่วงอายุตั้งแต่ 16-29 ปี พบว่าเกือบ 20% ผู้ชายในกลุ่มสำรวจมองว่าแนวคิดเรื่องเฟมินิสม์อาจส่ง ‘ผลเสีย’ ต่อพวกเขามากกว่าให้ผลดี ซึ่งตัวเลขนี้นับว่ามากกว่ากับคนเจน Baby Boomer

ผลสำรวจเผย ผู้ชาย Gen Z ไม่เอาเฟมินิสม์มากกว่าบูมเมอร์ โดยหลายคนได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Andrew Tate

จากผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัย King’s Collegeในลอนดอน ที่ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้ชายเจน Z ช่วงอายุตั้งแต่ 16-29 ปี พบว่าเกือบ 20% ผู้ชายในกลุ่มสำรวจมองว่าแนวคิดเรื่องเฟมินิสม์อาจส่ง ‘ผลเสีย’ ต่อพวกเขามากกว่าให้ผลดี ซึ่งตัวเลขนี้นับว่ามากกว่ากับคนเจน Baby Boomer (คนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1946-1964) ที่มีความคิดนี้เพียงแค่ 13% เท่านั้น และยังมีคนเจน Z จำนวนหนึ่งที่มองว่า ‘Toxic Masculinity’ เป็นคำที่เกิดขึ้นมาโดยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ เลย แถมแนวคิดนี้อาจจะเป็นโทษเสียเองด้วยอย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่ากลุ่มที่มองว่าเฟมินิสม์ส่งผลเสียมากกว่าผลดีนั้นก็ยังคงเป็นส่วนน้อยของกลุ่มสำรวจ โดยผู้ชายอายุ 16-29 อีกกว่า 30% ในกลุ่มสำรวจนี้ เห็นว่าเฟมินิสม์นั้นส่งผลดีมากกว่าผลเสีย แต่ในการขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศนั้นจำเป็นต้องไปด้วยกันทั้งสังคมเพราะที่สุดแล้วมันส่งผลกระทบต่อทุกคน ทัศนคติที่มองว่าเฟมินิสม์อันตราย (และไม่ควรเกิดขึ้น) นั้นจึงนับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความเท่าเทียมไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างที่ควรจะเป็น นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามมากๆ ว่า อะไรที่ทำให้พวกเขาคิดอย่างนั้น และจากผลสำรวจนี้ อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์เป็นสิ่งนี้ที่เกี่ยวข้องผู้ชายเจน Z จำนวนหนึ่งจากกลุ่มสำรวจ ยอมรับว่าบุคคลที่มีผลต่อทัศนคติของพวกเขาในเรื่องเฟมินิสม์มากที่สุดก็คือ ‘แอนดรูว์ เทต’ (Andrew Tate) อดีตนักมวยลูกครึ่งอังกฤษ-อเมริกัน ผู้กลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์และสถาปนาตนประหนึ่งไลฟ์โค้ช ทำคอนเทนต์ที่มีแนวคิดค่อนไปในทางเหยียดเพศอย่างชัดเจนบนโลกออนไลน์จนมีผู้ติดตามหลักล้าน กระทั่งเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2023 ที่ผ่านมา เขาถูกรวบตัวในโรมาเนียด้วยข้อหาค้ามนุษย์ ข่มขืน รวมถึงแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับผู้หญิง ซึ่งแม้ว่าตอนนี้เขาจะปฏิเสธทั้งหมด แต่ความจริงที่แอนดรูว์ เทต เคยฝากไว้บนโลกโซเชียลฯ ว่าเขาเป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรง ชอบตบตี ชอบบีบคอผู้หญิง จนถึงกับเคยประกาศกร้าวไว้ว่าตัวเองเป็น ‘King of Toxic Masculinity’ และเป็นพวก ‘เกลียดผู้หญิง’ (Misogynist) ตัวพ่อ ประกอบกับเรื่องฉาวที่เขาเคยเข้าแข่งขันรายการ Big Brother เวอร์ชันอังกฤษ แต่ถูกขับออกจากรายการเพราะถูกกล่าวหาว่าใช้เข็มขัดฟาดผู้หญิงคนหนึ่ง (ที่เขาอ้างว่าเป็นการยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย) ก็อาจพอช่วยยืนยันข้อจริงเท็จเกี่ยวกับตัวเขาได้บ้างไม่มากก็น้อยสิ่งนี้เองที่ทำให้แนวคิด Antifeminism แบบซ่อนรูปของแอนดรูว์ เทต เป็นเรื่องอันตราย เพราะไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ แมสเสจที่เขาพยายามส่งออกไปถึงคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นทาร์เก็ตผู้ติดตามหลักๆ ของเขาบนโซเชียลฯ กำลังแปะป้าย แบ่งแยกคนออกเป็นกลุ่มๆ ไม่ว่าจะผู้ชาย เฟมินิสต์ หรือคนอื่นๆ ที่มีแนวคิดแตกต่างไปจากนี้ และเป็นตัวเร่งให้เกิดการห้ำหั่นกันทางสังคมบ็อบบี้ ดัฟฟี่ (Bobby Duffy) อาจารย์ประจำสถาบันนโยบาย มหาวิทยาลัย King’s College ลอนดอน ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะเอนเอียงไปกับอิทธิพลของเทตได้ไม่ยากเลย เพราะมันคือหนึ่งใน Social Norm ที่พวกเขาเห็น และเติบโตมากับมันจนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ซึ่งนั่นถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ และอาจกลายเป็น ‘ความเสี่ยงที่จะเป็นความรุนแรงจากการแบ่งแยกทางความคิด’ ได้เลยทีเดียว&nbsp;ด้าน จอร์แดน ปีเตอร์สัน (Jordan Peterson) นักจิตวิทยาและนักวิชาการด้านสังคมมองว่าสิ่งที่แอนดรูว์ เทต ทำอยู่นั้นคือการปั่นให้คนหนุ่มสาวเกิดความสับสนและเกิดความสงสัยในจริยธรรมของตัวเอง ทำให้ความก้าวร้าวรุนแรงกลายเป็นความชอบธรรม เพื่อให้คนรุ่นใหม่ใช้มันสู้กับแนวคิดเฟมินิสต์ในทางอ้อม&nbsp;และที่น่าสังเกตจากผลสำรวจอีกอย่างก็คือการสะท้อนว่าชาติพันธุ์ก็มีผลต่อความคิดของคนรุ่นใหม่อย่างมีนัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะผู้ชายเจน Z ผิวสีและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนกว่า 12% ยอมรับว่าแนวคิดของแอนดรูว์ เทต ช่วยชี้ให้เห็นว่าบทบาทของผู้ชายในสังคมเป็นเรื่องสำคัญ และความเป็นชายนั้นก็กำลัง ‘ถูกคุกคาม’ อยู่ และนั่นทำให้มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยจากการสำรวจที่เชื่อว่าการเป็นผู้ชายในยุคนี้ ‘อยู่ยาก’ กว่าผู้หญิงหลายเท่านัก&nbsp;ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดของแอนดรูว์ เทต อาจเชื่อมโยงไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระดับการเมืองและสังคมด้วยเช่น คอลิน (Colin) แรงงานรุ่นใหม่ในลอนดอนคนหนึ่งที่บอกว่าแนวคิดของเทต โดนใจกลุ่มคนผิวสีในสังคมเต็มๆ ก็เพราะเจาะเข้าไปถึงรากเหง้าของปัญหาที่คนกลุ่มนี้กำลังเผชิญอยู่ เขามองว่าคนที่ไม่ได้มี Privilege อย่างเช่นคนผิวสี หรือคนชายขอบ ต่างได้ยินคำพูดแบบ Black Lives Matter หรืออะไรก็ตามที่เป็นความหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำมาตลอด แต่คำพูดเหล่านี้ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรที่จับต้องได้ในชีวิตพวกเขา“สิ่งที่เทตพูดคือการสอนว่าถ้าคุณอยากเป็นชายแท้แบบเจ๋งๆ คุณต้องเป็นแบบไหน หรือถ้าคุณอยากจะเป็นคนรวยแบบเขาบ้าง คุณต้องทำอย่างไร สิ่งเหล่านี้มันน่าเชื่อถือเพราะอะไรล่ะ? เพราะคนฟังแล้วรู้สึกว่าเอาไปใช้ได้เลย มันแก้ปัญหาของเขาได้ทันที มันคือการเสนอทางเลือกที่เร็วกว่าให้มานั่งรอการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือการเมืองที่ แ*ง ช้าเหลือเกิน แล้วจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” คอลินกล่าวการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้เลยทันทีนี่เองที่น่ากังวล เพราะมันง่ายต่อการรับเข้าไปในความคิดความเชื่อ และยิ่งทำให้การแบ่งแยกทางความคิดจะชัดเจนขึ้นทุกที หลายคนแค่เห็นคำว่า ‘ความเท่าเทียม’ ก็พร้อมจะเบือนหน้าหนีหรือตั้งแง่ไว้เสียแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในโลกตะวันตก แต่ในบ้านเราเองสิ่งนี้ก็กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันอ้างอิง<a href="https://www.theguardian.com/news/2024/feb/01/gen-z-boys-and-men-more-likely-than-baby-boomers-to-believe-feminism-harmful-says-poll" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.theguardian.com/news/2024/feb/01/gen-z-boys-and-men-more-likely-than-baby-boomers-to-believe-feminism-harmful-says-poll</a>&nbsp;

นักศึกษาหญิงชาวอิหร่านถูกเจ้าหน้าที่จับกุม หลังจากเธอตัดสินใจถอดฮิญาบ ปล่อยผมสยาย และเปลื้องผ้าให้เหลือแต่ชุดชั้นใน เดินไปรอบๆ มหาวิทยาลัยของเธอ เพื่อประท้วงต่อต้านกฏบังคับอันเคร่งครัดที่ให้ผู้หญิงทุกคนในประเทศแต่งกายอย่างมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้าตามหลักศาสนาอิสลาม

นักศึกษาหญิงชาวอิหร่านถอดฮิญาบ เปลื้องผ้าประท้วง ในมหาวิทยาลัย เพื่อต่อต้านกฏที่บังคับให้ผู้หญิงต้องปกปิดทั้งร่างกายและเส้นผม จนถูกจับกุมและยังไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหน

ท่ามกลางโลกทุกวันนี้ที่บีบบังคับให้เราต่างต้องประสบความสำเร็จ มุ่งไปข้างหน้า คาดหวังให้เราเป็นยอดมนุษย์ในทุกๆ เรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็กดดันให้เราวิ่งวนเป็นวงกลมไปกับข้อมูลอันท่วมท้นภายนอกที่ทำให้เราไม่มีเวลากลับมาสนใจโฟกัสกับความเป็นปัจจุบัน หรือแม้แต่ฟังเสียงของตัวเราเองอย่างที่ควรจะเป็น จนผลักให้ใครหลายคนต้องเผชิญกับภาวะ Mental Exhaustion หรือภาวะ Burnout ในท้ายที่สุด

ย้อนฟังคำพูดสุดทรงพลังที่จะปลุกการตื่นรู้และเยียวยาเรา จาก 3 สปีกเกอร์ ใน Dragonfly H.E.A.L Summit 2024

นี่คือการถามจริง ตอบจริง แบบไม่เตี๊ยม ไม่มีบท ของ Dose of society แอคเคานต์ที่เราบังเอิญเจอในอินสตาแกรมที่ออกไปยื่นไมค์สัมภาษณ์ผู้คนตามท้องถนนทั่วทุกมุมโลก ด้วยไอเดียที่ว่า Real People, Real Stories คุยกับคนจริง กับเรื่องจริงๆ ของพวกเขา

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Thoughts

ผลสำรวจเผย ผู้ชาย Gen Z ไม่เอาเฟมินิสม์มากกว่าบูมเมอร์ โดยหลายคนได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Andrew Tate

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS