อิงอิง-วิชญาดา ชาติธีรรัตน์ MUT นครปฐม ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ทำแท้งมาก่อน ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของเธออย่างกล้าหาญ ท่ามกลางคำวิจารณ์ของกรรมการบางคนที่มีอคติอย่างเห็นได้ชัดว่า “ไม่เห็นด้วย” 

อิงอิง-วิชญาดา ชาติธีรรัตน์ MUT นครปฐม นางงามผู้เคยผ่านการทำแท้ง ที่กล้าหาญในการเรียกร้องสิทธิการทำแท้งให้ผู้อื่น

เวทีนางงามในปัจจุบัน พยายามปูทางไม่ให้การประกวดมีแค่เรื่องของความงามอย่างเดียวเฉกเช่นสมัยก่อน เพื่อสร้างคุณค่าบางอย่างให้กับเวที เพราะหากมองดูบริบทเวทีนางงามตอนนี้ หลายเวทีได้ชูประเด็นการ ‘Empower’ หรือการส่งต่อพลัง ส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงเป็นคอนเซปต์หลัก เวทีนางงามยุคนี้จึงเป็นอีกพื้นที่ในการขับเคลื่อน หรือเปิดโอกาสให้นางงามได้พูดสิ่งที่อยากสร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคม เช่นเดียวกับการประกวด Miss Universe Thailand 2023 รอบ Preview Day: The Keyword Showdown ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ หนึ่งในประเด็นสังคมที่ถูกพูดถึงบนเวทีนี้คือเรื่อง ‘<a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%87" rel="noopener noreferrer" target="_blank">ทำแท้ง</a>ถูกกฎหมาย’ โดย อิงอิง-วิชญาดา ชาติธีรรัตน์ MUT นครปฐม ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ทำแท้งมาก่อน ได้ออกมาเล่าเรื่องราวของเธออย่างกล้าหาญ ท่ามกลางคำวิจารณ์ของกรรมการบางคนที่มีอคติอย่างเห็นได้ชัดว่า “ไม่เห็นด้วย” นำไปสู่การตั้งคำถามว่า ถ้าเวทีนางงามอยาก Empower ผู้หญิงจริง ทำไมกรรมการถึงยังมองผู้หญิงที่ผ่านการทำแท้งในแง่ลบเสียได้? และนี่คือสปีชของอิงอิง ที่เธอพูดต่อหน้าคนทั้งฮอลล์ “อิงอิงในวัย 24 ปี ที่เจอทั้งความผิดพลาด เจอเรื่องราวที่ผิดหวัง แต่การมาประกวดนางงามของอิง คือการที่อิงเอาตัวเองออกมาเป็น inspiration ให้กับคนอื่นได้เห็นว่า เราผ่านมันมาได้แล้วค่ะ และครั้งหนึ่งอิงคือสตรีที่ผ่านการทำแท้งถูกกฎหมายมาก่อน และอิงเอาตัวเองออกมาเป็น case study ให้กับสังคม ได้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ผู้หญิงทุกคนควรมีตัวเลือกในการใช้ชีวิตค่ะ” “เมื่อสองปีก่อน อิงเกิดการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม และอิงไม่ได้มีทุนทรัพย์มากพอ รวมถึงไร้การศึกษา อิงมองว่าทุกคนพร้อมจะเป็นพ่อ เป็นแม่ได้ค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนควรจะเป็นพ่อ เป็นแม่ได้ อิงเลยรู้สึกว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งต้องเกิดมาในความที่เราไม่พร้อม ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่มีการเลี้ยงดูเขาให้เติบโตเป็นบุคคลที่ดีในสังคม เขาจะเกิดมาในความเคว้งคว้าง เขาจะเกิดมาด้วยความที่เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องเดินไปทางไหน และเขาจะเกิดมาใน (ครอบครัว) คนที่เป็นแม่ที่ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีค่ะ อิงเลยตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในการที่จะสูญเสียเขาไป และหลังจากวินาทีนั้น อิงยืนหยัดในการทำโครงการเพื่อสังคมของอิงที่ชื่อว่า Power of Victim แท้งไม่ผิด เพราะเราก็สูญเสีย เชื่อไหมคะ มีอัตราการเสียชีวิตจากคนที่ทำแท้งแบบผิดกฎหมาย ทั้งใช้ยาสอด ทั้งการเหน็บยา ทำให้เกิดอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 80 ในเยาวชน อิงขอเป็นกระบอกเสียงที่ยิ่งใหญ่ให้ทุกคนทราบว่าตอนนี้ประเทศไทยควรยอมรับการทำแท้งถูกกฎหมายได้แล้วค่ะ” จากสิ่งที่อิงอิงพูด เธอชัดเจนว่าเหตุผลในการทำแท้งของเธอคือความไม่พร้อมทางการเงินที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง และแน่นอนเธอยังไม่พร้อมทางด้านจิตใจที่จะเป็นแม่คน ซึ่งนับว่าไม่ใช่ความคิดที่ผิด เพราะเจ้าของร่างกายควรมีสิทธิเลือกเส้นทางของตัวเอง ดีกว่าการไม่มีสิทธิเลือก แล้วปล่อยให้ลูกออกมา ทั้งที่ไม่พร้อมจะเลี้ยงดูตั้งแต่แรก และหากเลี้ยงดูได้ไม่ดี ก็จะโดนสังคมที่คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นแม่ที่ดี วิจารณ์และตำหนิอีกในภายหลัง แน่นอนว่าส่งผลเสียทั้งกับแม่และลูกเป็นแน่ ทว่าหนึ่งในกรรมการอย่าง ‘ป้าตือ’ ก็ได้แสดงความคิดเห็นว่า “ไม่เห็นด้วย” กับสิ่งที่อิงอิงพูด โดยเขาบอกว่า “ขอโทษนะ ไม่เห็นด้วย สิ่งที่เราทำ เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำอะ เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ อันนี้คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่สิ่งที่คุณกำลังพูดคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุจริงๆ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำปัญหาขึ้นตั้งแต่ต้น” นี่เป็นอีกครั้งที่คนในสังคมยังผูกโยงเรื่องของการทำแท้งว่าเป็นเรื่องของศีลธรรม และมาตัดสินคนที่ทำแท้งว่าเป็นคนไม่ดี ใจร้าย ไม่รับผิดชอบ โดยที่คนคนนั้นไม่ได้ตั้งคำถามว่าหากเด็กออกมาแล้ว คนเป็นแม่เลี้ยงไม่ได้ จะเกิดปัญหาสังคมอะไรตามมา หรือกระทั่งตัวเองก็ไม่ได้จะมาช่วยคนท้องเลี้ยงลูกแม้แต่น้อย และอีกอย่างในบริบทของคนที่ไม่ได้เป็นคนตั้งครรภ์เอง จะมีสิทธิไปวิจารณ์คนที่ผ่านประสบการณ์นั้นมาได้จริงไหม ในเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้น และไม่ได้แบกรับความกดดันที่เกิดขึ้น เพราะมันก็คงเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ง่ายๆ เลยเหมือนกันสำหรับเธอ อิงอิงได้ตอบกลับป้าตือต่อว่า “ที่พี่ลูกตือพูดก็มีเหตุผลค่ะ แต่โครงการของอิงสนับสนุนถึงโรงพยาบาล สถานศึกษา ให้เขาไม่ได้ตัดสินใจในการทำแท้งเสมอไป โครงการของอิงมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนคือ เราจะให้ความรู้ที่เกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง เรามีนักจิตวิทยาที่จะให้คำปรึกษาทั้งครอบครัว ในการวางแผนครอบครัวว่า ถ้าทางออกของครอบครัวหรือผู้ปกครอง ตัดสินใจดีแล้วว่าไม่ควรทำแท้ง เราจะให้นักจิตวิทยาและผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงโรงพยาบาลช่วยเหลือเด็กคนนั้น เยาวชนคนนั้น และผู้ปกครองท่านนั้น ว่าควรเลือกทางออกไหนค่ะ แต่อิงบอกตั้งแต่ข้างต้นแล้วใช่ไหมคะ ว่าอิงคือ case study ของคนที่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะฉะนั้นอิงคือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดว่า ถึงแม้บางครั้งเราจะไม่ควรทำ แต่ถ้าต้องเกิดมาแล้วในสภาวะที่พ่อและแม่ไม่พร้อม ให้เขาไม่เกิดมา แล้วให้เกิดมาหลังจากที่เราพร้อมในทุกด้านดีกว่าค่ะ” นับว่าอิงอิงได้กล้าหาญยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นอย่างแน่วแน่ ซึ่งตามที่อิงอิงบอกเลยว่า ทุกคนควรมีสิทธิ ‘เลือก’ ทางของตัวเอง เธอไม่ได้บังคับให้ทุกคนไปทำแท้ง แต่หากไม่พร้อมจริงๆ คนที่อยากทำแท้งก็ต้องมีสิทธิเข้ารับบริการทำแท้งที่ปลอดภัยโดยปราศจากการตีตรา หรือถ้าหากยืนยันว่าจะเก็บเด็กไว้ ก็ควรมาช่วยกันวางแผนครอบครัวกับผู้เชี่ยวชาญว่า จะทำอย่างไรกันต่อดีให้เด็กออกมาแล้วมีคุณภาพ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือคนที่อุ้มท้องต้องมีสิทธิเลือกด้วยตัวเองตามเจตจำนงในฐานะเจ้าของร่างกาย อย่างไรก็ตาม อลิซาเบธ แซดเลอร์ พิธีกรการประกวดได้พูดหลังจากที่อิงอิงได้ลงจากเวทีไปว่า “นี่เป็นอีกหนึ่ง controversial issue หรือสิ่งที่อาจจะยังคิดเห็นไม่ตรงกันในสังคม เลือกฝั่งและใช้การวิเคราะห์ ลองคิดดูนะคะว่า ถ้าหากว่าเกิดขึ้นกับเรา แล้วเราจะจัดการอย่างไร แต่อย่าลืมนะคะว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ดีที่สุดคือป้องกันตั้งแต่แรก” และตัวเจ้าของเวทีอย่าง ปุ้ย ปิยาภรณ์ ก็ได้พูดต่อว่า “มันมีโครงการคุณแม่วัยใส ดีมากๆ เลยนะคะ เน้นเรื่องของการให้ความรู้ในการป้องกัน และคิดว่าสถาบันครอบครัวสำคัญที่สุด เราต้องเลี้ยงลูกๆ อย่างเปิดใจ เพื่อให้เขาไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมา และการมีแฟนในวัยเรียนไม่ใช่เรื่องผิด หลายๆ ครอบครัวจะออกกฎข้อบังคับเลยว่า อย่าให้เด็กๆ มีแฟน ต้องเรียนหนังสือก่อน ในยุคสมัยนี้คิดว่าไม่ได้นะคะ ทางที่ดีจะต้องให้คำแนะนำเขาค่ะ ว่าการมีความรักในวัยเรียนมีได้ แต่จะต้องมีความรับผิดชอบ ระวัง ป้องกันยังไง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างที่อิงอิงได้ประสบมาแล้วนะคะ” เราเองขอยืนหยัดและอยู่ข้างอิงอิง เพราะหากจะว่ากันจริงๆ ปัญหาการท้องไม่พร้อม ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของวัยใสที่ไม่มีความรู้เรื่องการป้องกัน มันสามารถเกิดขึ้นได้แม้กรณีที่มีการป้องกันแล้วก็ตาม ความพลาดพลั้งก็ยังมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นได้ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งตัดสินใจทำแท้งนั้นไม่ใช่เรื่องผิด กลับกันการทำแท้งสามารถมองเป็นความรับผิดชอบต่อตัวเองและอีกชีวิตหนึ่ง ที่จะไม่ทำร้ายลูกที่เกิดมาโดยความไม่พร้อมของเรา และจากคอมเมนต์ที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียลตอนนี้ ทำให้ได้รู้ว่า มีหลายคนยังไม่รู้ว่าตอนนี้ประเทศไทยเรามีการทำแท้งถูกกฎหมายเรียบร้อยแล้ว และแม้ถึงจะมีกฎหมายชัดเจนแล้ว ก็ยังมีหลายคนที่มีอคติต่อคนที่ต้องการทำแท้ง ซึ่งทำให้คนที่อยากทำแท้งบางคนไม่กล้าที่จะไปทำแท้ง เพราะกลัวถูกสังคมหรือคนรอบข้างประณาม หรือบางคนก็ยังมีความคิดว่าคนจะแห่กันไปทำแท้ง และแห่กันไม่ป้องกัน หรือดูแลตัวเองจากเซ็กซ์มากขึ้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การทำแท้งนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ไม่มีใครอยากจะเจ็บตัว ไม่มีใครอยากท้องเพื่อไปทำแท้ง และสิ่งสำคัญเลยก็คือ สังคมควรจะเลิกตัดสินคนอื่นด้วยศีลธรรมของตัวเอง มองเห็นความสำคัญของสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ทั้งของตัวเอง และของผู้อื่นให้มากกว่านี้ สามารถฟังสปีชของอิงอิงได้ทั้งหมด ตั้งแต่นาทีที่ 2:58:00 ได้ที่ <a href="https://www.youtube.com/live/Zb1CM5XOr0w?feature=share" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.youtube.com/live/Zb1CM5XOr0w?feature=share</a>&nbsp;

ย้อนไปเมื่อต้นปี 2023 ม้าตัวหนึ่งหัวใจวายตายขณะถ่ายทำซีรีส์ The Ring of Power ขณะที่เมื่อปี 2011 เสือชื่อคิงก็เกือบจมน้ำตายระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง Life of Pi ในฉากที่จำเป็นต้องใช้เสือจริงๆ แทนซีจี  ฯลฯ และเช่นเดียวกับเคสแมวดำในซีรีส์ ‘แม่หยัว’ มีสัตว์หลายชีวิตต้องสูญเสียสวัสดิภาพของตัวเอง เพื่อตอบสนอง ‘ความสมจริง’ ในการถ่ายทำ โดยที่มันไม่สามารถให้ความยินยอมหรือเรียกร้องอะไรได้

เมื่อดิสเคลมเมอร์ “No Animal Were Harmed” ในหนังฮอลลีวูด ก็ไม่อาจการันตีสวัสดิภาพสัตว์ได้ 100% 


นอกจากชัยชนะของทรัมป์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ เกิดปรากฏการณ์ ‘ครั้งแรก’ ในประวัติศาสตร์มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ Sarah McBride สส. ทรานส์เจนเดอร์คนแรกในประวัติศาสตร์ของสภาคองเกรส จากพรรคเดโมแครต ที่สามารถเอาชนะ John Whalen III อดีตนายตำรวจประจำรัฐเดลาแวร์มาได้

Sarah McBride 
‘สส. ทรานส์เจนเดอร์’ คนแรกในสภาคองเกรส ผู้ผลักดันทั้งประเด็น LGBTQ และบริการสุขภาพ จนได้ใจประชาชนคนทำงานและชนะการเลือกตั้ง!

เมื่อพูดถึงความรุนแรงในครอบครัวหรือความรุนแรงต่อผู้หญิง หลายคนอาจเห็นภาพการลงไม้ลงมือทำร้าย แต่อันที่จริง การใช้คำพูดทำร้ายอีกฝ่ายโดยเฉพาะในคู่รัก ก็นับเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งเช่นกัน 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Thoughts

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS