“โซเชียลมีเดียทุกวันนี้ท็อกซิกเกินไป” น่าจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนรู้สึกร่วมกันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพาตัวเองออกไปจากพื้นที่ออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้ หลายคนเลยยังต้องดีลกับมวลอารมณ์ด้านลบที่พร้อมพุ่งใส่ตัวเราทุกด้าน

“ไม่รู้ว่าทำไมต้อง negative กับพวกเรา?” คำถามจาก ‘บีบี’ ผู้ชนะ The Face Thailand วัย 16 ปี ที่สะท้อนความอึดอัดต่อพลังท็อกซิกในโซเชียลมีเดีย 

“โซเชียลมีเดียทุกวันนี้ท็อกซิกเกินไป” น่าจะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนรู้สึกร่วมกันแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพาตัวเองออกไปจากพื้นที่ออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้ หลายคนเลยยังต้องดีลกับมวลอารมณ์ด้านลบที่พร้อมพุ่งใส่ตัวเราทุกด้าน ในรูปแบบของการแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ การติเพื่อก่อ (?) การคอมเมนต์หยอกขำๆ ไปจนถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เสรีบูลลี่’ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนหนึ่งอาจจะขำ แต่คนที่โดนอาจสนุกไปด้วยได้ยากและยิ่งหากเป็นบุคคลสาธารณะ ที่หลายคนมองว่า “เมื่อได้รับผลประโยชน์จากชื่อเสียงของตัวเองก็จำเป็นต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้” ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากมวลเหล่านี้มากขึ้นไปอีกขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีรับมือที่ต่างกันออกไป และล่าสุดนี้ วิธีโต้ตอบของ ‘บีบี’ บียังคา ณฐมน โพลัค ผู้ชนะรายการ The Face Thailand&nbsp;คนล่าสุด ที่มีอายุเพียง 16 ปี ก็เรียกเสียงชื่นชมจากชาวเน็ตได้เป็นอย่างมาก เพราะเธอเลือกจะตอบอย่างตรงไปตรงมาถึงคนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ชอบการแสดงของใครเลย ในบรรดาคนทำแคมเปญรอบสุดท้ายทั้ง 3 คน โดยบีบีได้ตอบกลับว่า“ไม่ถูกใจก็ไม่ต้องถูกใจค่ะ บีบีรู้สึกว่าบีบีทำได้ดีมาก ไม่รู้ว่าทำไมต้อง negative กับพวกเรา เพราะว่าการแสดงบทนี้ยากมากๆ เลยค่ะ”ชัดเจนว่าเธอเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองและผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้ทำลงไปอย่างเต็มที่แล้ว และสิ่งที่น่าสนใจก็อยู่ตรงคำถามที่ว่า “ไม่รู้ว่าทำไมต้อง negative กับพวกเรา” เพราะน่าจะเป็นคำถามที่หลายๆ คนก็สงสัยเช่นกัน โดยเฉพาะในบริบทของการวิจารณ์รายการบันเทิงหรือเวทีประกวดต่างๆ เพราะเลยพ้นไปจากคอนเทนต์ที่บีบีตอบกลับนี้ ก็ยังมีคอนเทนต์และคอมเมนต์ในคอมมูนิตี้นี้อีกเป็นจำนวนมากที่สร้างบาดแผลในใจผู้คน&nbsp;ดังนั้นคำถามที่บีบีโยนขึ้นมานี้ อาจสามารถหยิบไปใช้กับกรณีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาตลอดบนอินเทอร์เน็ตได้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะกับคอนเทนต์หรือบุคคลที่เธอตอบกลับเท่านั้นว่าแต่ ทำไมคนต้อง negative ใส่กันโดยใช่เหตุ?ประการแรก การได้แสดงความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ปลอดภัยไร้กังวลสำหรับบางคน บางคนพร้อมจะสาดความคิดเห็นด้านลบใส่คนอื่นเพราะตัวเองไม่ต้องเปิดเผยตัวตน จึงเลือกจะใช้อำนาจของตนในฐานะ Anonymous อย่างเต็มที่ หรือบางคนที่ไม่ได้ใช้โพรไฟล์ Anonymous ก็ยังกล้าใช้คำพูดที่รุนแรงกว่าที่จะใช้ในบทสนทนาที่อยู่ต่อหน้ากันจริงๆ เพราะมองว่าการแสดงความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตนั้นไกลตัวออกไปและไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตจริง อย่างที่ถูกเรียกว่า Online Disinhibition Effect&nbsp;ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนยังเลือกใช้วิธีแสดงความคิดเห็นด้านลบ เพื่อเต็มเติมหรือชดเชยบางอย่างให้กับตัวเอง เช่นบางคนต้องการการยอมรับผ่านการกดไลค์ หรือบางคนอาจอยากได้รับการพิสูจน์ว่าตัวเอง ‘ฉลาดกว่า’ หรือ ‘ถูกต้องกว่า’ จึงอยากแสดงความคิดเห็นที่จะได้รับความสนใจ ซึ่งบางครั้งความท็อกซิกก็ได้ผล หรือบางคนอาจต้องการยกความเครียดออกจากตัวเองด้วยการถ่ายเทมันออกไปสู่คนอื่นด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผู้คนต่างสาดความคิดเห็นด้านลบต่อกันมากขึ้นทุกวัน ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งที่แย่ก็คือ มีคนที่ต้องรับผลเหล่านี้โดยตรง ยังไม่นับว่าบางคนก็ ‘อินเกิน’ กับการเฝ้ามองใครหรือกิจกรรมใดๆ ผ่านสื่อซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยหลงลืมไปว่าทุกคนต่างก็ต้องพยายามต่อสู้และมีเรื่องยากๆ ในการทำงานให้ต้องเผชิญเสมอ และบางครั้งเบื้องลึกเบื้องหลังก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาทั้งหมด อีกทั้งผลแพ้ชนะก็เป็นเพียงเกณฑ์การตัดสินใจของพื้นที่นั้นๆ ไม่ได้แปลว่าใครดีหรือไม่ดีไปกว่าใคร ดังนั้นการดูเพียงฉากหน้าแล้วใช้อคติในการวิจารณ์จึงกลายเป็นเพียงการกดคนอื่นให้ต่ำลงและอาจไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาใดๆ เลยก็ได้แน่นอนว่า Free Speech นั้นเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่ขณะเดียวกันเมื่ออินเทอร์เน็ตกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตและส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้คนมากมาย เราจึงอาจต้องทบทวนกันอีกครั้งและอีกครั้ง ว่าสิ่งที่เราสื่อสารออกไปนั้นจำเป็นมากน้อยแค่ไหน สามารถส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญคือเรากำลังใช้คำว่า Free Speech เป็นข้ออ้างในการทำร้ายจิตใจคนอื่นเพื่อความสบายใจของตัวเองอยู่หรือเปล่า? เพราะเราย่อมรู้ดีกว่าภายใต้ประโยคที่พิมพ์ออกไป จริงๆ แล้วเราอยากได้อะไรกันแน่ และในยุคสมัยที่ทุกคนต่างต้องการพื้นที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง การใช้เสรีภาพก็ควรมาพร้อมความรับผิดชอบและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วยเช่นกัน

กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นดราม่าในชั่วข้ามคืน กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการให้สัมภาษณ์ของ 3 นักแสดงนำจาก After the Hunt เมื่อนักแสดงสาวผิวดำ Ayo Edebiri วัย 29 เจ้าของรางวัล Emmy Award สาขานักแสดงตลกสมทบหญิงและผลงานกำกับในซีซั่นที่ 3 ของซีรีส์ The Bear ถูก ‘กีดกัน’ ไม่ให้ตอบคำถาม ระหว่างกำลังนั่งให้สัมภาษณ์อยู่พร้อมๆ กับเพื่อนนักแสดงอย่าง Julia Roberts และ Andrew Garfield 

อีกหนึ่งดราม่าจากเทศกาลหนังเวนิส เมื่อ Ayo Edebiri ถูกนักข่าวกีดกันไม่ให้ตอบคำถามว่าความ PC ทำให้ฮอลลีวูดเสียอะไรไปบ้าง หลังจาก Black Lives Matter และ #Metoo จบลง

สส.หมิว โดนเรียกว่า “อีซึมเศร้า” / สส.ธัญ โดนเรียกว่า “อีกะเทย” สส.ไหม โดนพูดว่า “ไปแก้ผ้าให้พี่หนูแล้ว" และ แพทองธาร โดนเรียกว่า กะหรี่ ฬ่าน และโดนไล่ไปเลี้ยงลูก แน่นอนว่านักการเมืองควรจะถูกตรวจสอบ และถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงานจากประชาชนได้เสมอ ถึงอย่างนั้น ในบางคำวิจารณ์ก็น่าเก็บมาคิดว่า มันเหมาะแล้วหรือไม่ ที่จะถูกใช้มาเหยียดหยามคนอื่น 

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองไทยที่วุ่นวาย อาจดีกว่าไหม หากเรา ‘มีสติ’ ในการวิจารณ์นักการเมือง โดยไม่ใช้อคติเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์?

หลังจาก ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยว่าเธอจะได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ ต่อหรือสิ้นสุดบทบาทนี้ลง อันเนื่องมาจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ซึ่งวันนี้ 29 สิงหาคม 2568 ศาลตัดสินให้เธอ ‘พ้นจากตำแหน่งนายกฯ’  

‘แพทองธาร ชินวัตร’ พ้นตำแหน่งนายกฯ ปมคลิปเสียงละเมิดจริยธรรมร้ายแรง เป็นการเจรจาเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตัว 
ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ นำไปสู่คำถาม ควรให้ ‘ศาล’ มีอำนาจตัดสินเหนือ ‘ประชาชน’ หรือไม่?

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS