สส.หมิว โดนเรียกว่า “อีซึมเศร้า” / สส.ธัญ โดนเรียกว่า “อีกะเทย” สส.ไหม โดนพูดว่า “ไปแก้ผ้าให้พี่หนูแล้ว" และ แพทองธาร โดนเรียกว่า กะหรี่ ฬ่าน และโดนไล่ไปเลี้ยงลูก แน่นอนว่านักการเมืองควรจะถูกตรวจสอบ และถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงานจากประชาชนได้เสมอ ถึงอย่างนั้น ในบางคำวิจารณ์ก็น่าเก็บมาคิดว่า มันเหมาะแล้วหรือไม่ ที่จะถูกใช้มาเหยียดหยามคนอื่น 

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองไทยที่วุ่นวาย อาจดีกว่าไหม หากเรา ‘มีสติ’ ในการวิจารณ์นักการเมือง โดยไม่ใช้อคติเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์?

การเมืองในประเทศไทยเราตอนนี้อยู่ในช่วงที่ ‘เดือด’ พอสมควร และเชื่อว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นติดๆ กันแบบที่ไม่ให้พักหายใจหายคอนี้ได้ดึงพลังงานอารมณ์ของผู้คนออกมาอย่างหลากหลาย บางคนรู้สึกโกรธเกรี้ยว บางคนรู้สึกท้อใจ บางคนรู้สึกสิ้นหวัง และบางคนก็อาจเลือกที่จะ ‘โจมตี’ ฝ่ายที่เราไม่เห็นด้วยอย่างขาดสติโดยลืมที่จะนึกถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ ของอีกฝ่าย เพราะความเดือดดาลนั้นเข้ามาครอบงำเป็นอันที่ทราบกันทั่วกันว่า ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ได้พ้นตำแหน่งนายกฯ จากปมคลิปเสียงที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าละเมิดจริยธรรมร้ายแรง เป็นการเจรจาเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ นำไปสู่การโหวตนายกฯ คนที่ 32 ที่ทำให้ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ แคนดิเดตนายกฯ พรรคภูมิใจไทย กลายเป็นว่าที่นายกฯ คนใหม่ไปโดยปริยาย ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองในสภากันถึงการตัดสินใจครั้งนี้ โดยเฉพาะผลโหวตที่มาจาก สส.พรรคประชาชนและไม่ว่าคนบางส่วนเห็นด้วยหรือไม่ที่ แพทองธาร หลุดเก้าอี้นายกฯ หรือบางส่วนที่โกรธกับมูฟเมนต์ของพรรคประชาชนที่สวนทางกับความคาดหวัง แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือการสาดอารมณ์กันไปมาอย่างดุเดือด และบางคำพูดที่เอามาโจมตีนักการเมืองก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำงาน แต่เป็นการด่า การเหยียด และเล่นกับความเปราะบางทางจิตใจคนอื่น แน่นอนว่านักการเมืองควรจะถูกตรวจสอบ และถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงานจากประชาชนได้เสมอ เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนประชาชนที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ถึงอย่างนั้น ในบางคำวิจารณ์ก็น่าเก็บมาคิดว่า มันเหมาะแล้วหรือไม่ ที่จะถูกใช้มาเหยียดหยามคนอื่น เพราะมันอาจเป็นการส่งต่ออคติลบๆ ต่อสังคมในวงกว้าง ไม่ใช่แค่เจ้าตัวที่โดนด่า แต่รวมถึงมุมมองของคนในสังคมไปด้วยทั้งกรณีพิธีกรชื่อดัง เรียก ‘สส.หมิว-สิริลภัส กองตระการ’ จากพรรคประชาชนในช่วงโหวตนายกฯ คนใหม่ว่า “อีหมิว อีหมิว อีซึมเศร้า กูขอให้มึงซึมเศร้าร้องไห้ในสภาอีกเยอะๆ นะอีหมิว” ซึ่งนับเป็นการสร้างบาดแผลให้คนที่มีภาวะซึมเศร้า ไม่ใช่แค่กับตัวหมิว แต่กระทบต่อประชาชนคนอื่นๆ ที่ทุกข์ทรมานทางจิตใจอยู่ได้ เพราะที่ผ่านมา หลายคนต่างรณรงค์กันว่า เรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรมองมันเป็นเรื่องปกติ และอยากให้ทุกคนกล้าที่จะ ‘ยอมรับ’ มันเพื่อนำไปสู่การรักษา เนื่องจากในอดีต เคยเป็น taboo ที่คนไม่กล้าพูดถึงเพราะกลัวคนมองอย่างแปลกประหลาด แต่เมื่อสังคมก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น ผู้คนเข้าใจและหันมาให้ความสำคัญกับภาวะซึมเศร้ามากกว่าแต่ก่อน การยังใช้ถ้อยคำเชิงลบกับผู้เป็นโรคซึมเศร้า ก็นับว่าเป็นการตอกย้ำอคติบางอย่างต่อคนที่กำลังเผชิญกับภาวะนี้อยู่ ที่อาจมีบางคนยังเข้าใจผิดๆ ว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ ทั้งที่ความจริงแล้ว ไม่มีใครอยากจะเป็นมันกันทั้งนั้น ซึ่งเราไม่อยากให้คนที่กำลังมีความเปราะบางทางจิตใจ รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียว และต้องเก็บเรื่องแย่ๆ ไว้คนเดียว ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวคนอื่นจะมองว่าเรียกร้องความสนใจ เมื่อท้ายที่สุด สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ควรถูกสื่อสารออกมาเพื่อนำไปสู่การรักษาและเยียวยาอย่างถูกต้อง และไม่ว่าจะเรียกร้องความสนใจหรือไม่ได้เรียกร้องความสนใจ ทุกคนที่มีภาวะนี้ก็ต่างต้องการ ‘ความช่วยเหลือ’ กันทั้งนั้นเช่นเดียวกับการที่พิธีกรคนนี้ เรียก ‘สส.ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์’ ว่า “อีกะเทย อีกะเทย อีกะเทย” ในช่วงโหวตนายกฯ เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าคำด่าที่ในยุคหนึ่งคนมองว่าไม่ควรใช้ในหน้าสื่อ ยังถูกใช้เพื่อเหยียบย่ำกันอย่างไม่จบสิ้น แม้คำว่ากะเทยในยุคปัจจุบันจะถูก reclaim จากคนในคอมมูนิตี้จนกลายเป็นคำที่เต็มไปด้วยพลังและเป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ยังมีบางคนเรียกคำนี้โดยไม่ให้เกียรติหรือมองเป็นคำเหยียดก็ยังมีอยู่ให้เห็น ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ การที่มันยังคงเป็นคำด่าที่ถูกใช้ลดทอนคุณค่าของผู้อื่นอยู่แบบนี้ ก็เป็นสิ่งสะท้อนว่าเราคงต้องช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศไปอีกยาวๆและเมื่อพูดถึงมิติเรื่องเพศ ‘ความเป็นหญิง’ ก็ถูกด้อยค่าเช่นกัน ทั้ง 'สส.ศิริกัญญา ตันสกุล' ที่ถูกพิธีกรคนดังกล่าวพูดถึงว่า “อีไหม อีไหม อีไหมโกนไหมแล้วค่า อีไหมถอดกางเกงใน โกนไหมไม่เหลือสักเส้นแล้ว รัฐมนตรีคลังในดวงใจ อีไหมไปแก้ผ้าให้พี่หนูแล้ว” ซึ่งนับเป็นการดูถูกผู้หญิงด้วยกันเอง และเข้าข่ายการคุกคามทางเพศไปด้วยขณะที่ แพทองธาร อดีตนายกฯ หญิง ก็ถูกหยิบเอาเพศสภาพของเธอมาโจมตีอยู่เนืองๆ ล่าสุดนี้เธอก็โดนเพจดัง โพสต์คอนเทนต์พร้อมข้อความ “หลุดเก้าอี้นายกแล้ว กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวแล้วกัน บาย นังฬ่าน” และหากไปดูความคิดเห็นของชาวเน็ตที่พูดถึงเธอจากหลายๆ ช่องทาง จะเห็นได้ว่า ทิศทางการคอมเมนต์บางส่วน ยังวนลูปอยู่กับคำว่า นายกฯ กะหรี่ ใช้ถ้อยคำคุกคามทางเพศสารพัด และบางคนก็บอกว่า เธอสมควรแล้วที่ควรจะพักมือจากการเมือง กลับไปเลี้ยงลูก ดูแลผัว ตามขนบหญิงไทย ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการมีอคติทางเพศต่อผู้หญิง ที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังผู้หญิง เพราะว่ากันตามตรงก็ไม่เคยมีนายกฯ ชายคนไหน เคยโดนไล่ให้กลับไปเลี้ยงลูก ดูแลผัว/เมีย เลยสักคนท้ายที่สุด ยังเป็นที่ถกเถียงว่าการวิจารณ์การเมืองไทย เราควรจะ PC หรือ Non-PC แค่ไหนกัน? ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะพิจารณาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง ทว่าความโกรธที่เป็นเรื่องของอารมณ์ซึ่งบางคนอาจรู้สึกว่าควบคุมยากเหลือเกิน แต่การตั้งสติ หรือโกรธอย่างมีสติ แบบที่รู้ว่าโกรธอีกฝ่ายเรื่องอะไร และใช้ความโกรธนั้น วิจารณ์อีกฝ่ายให้ถูกจุด นั่นอาจดีกว่า การเลือกใช้ที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาเป็นเครื่องมือในการบ่อนทำลายอีกฝ่าย ที่ผลลัพธ์ของมัน ไม่เคยเป็นผลดีต่อใครเลย&nbsp;

ดูเหมือนว่าการเมืองในสหรัฐฯ จะยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่ข่าวใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่ออินฟลูเอนเซอร์และนักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษ์นิยม Charlie Kirk วัย 31 ปี ถูกลอบสังหารจากระยะไกลด้วยปืนไรเฟิล และทำให้เขาล้มลงจากเก้าอี้กลางเวทีเสียชีวิตทันทีระหว่างกำลังทำการปฐกฐา ณ มหาวิทยาลัย Utah Valley ในรัฐยูทาห์ ต่อหน้าต่อตานักศึกษามากกว่า 3,000 คนที่มาร่วมฟังวาทะของเขา

“No One Mourns the Wicked” จากเพลง สู่วาทกรรม หลังการลอบสังหารนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาชาวอเมริกัน Charlie Kirk ที่อาจทำให้การเมืองสหรัฐฯ และการเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามยิ่งขยายความรุนแรงในหมู่ประชาชน

พี่สาวญี่ปุ่นตอบกลับทวีตที่บอกให้ผู้หญิงรีบแต่งงานก่อนอายุเข้าเลข 3 ว่า “สาวๆ วัยรุ่น ชุดเจ้าสาวน่ะไม่จำเป็นต้องใส่แค่ในงานแต่งหรอกนะ ถึงจะอายุใกล้ 40 แล้ว ก็ยังสามารถใส่เล่นกับเพื่อนๆ ถ่ายรูปหัวเราะเฮฮาไปด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบแต่งงานก็ได้นะ” ถ้าความฝันคือการได้ใส่ชุดเจ้าสาวสักครั้ง เราก็สามารถทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้ โดยไม่ต้องรอคอยใครอีกคน

‘ชุดเจ้าสาว’ ไม่จำเป็นต้องใส่แค่ในงานแต่งก็ได้! เพราะพี่สาวญี่ปุ่นเขาใส่ถ่ายรูปกับเพื่อนไปเลย ทัศนคติของผู้หญิงยุคใหม่ที่ปลอบโยนกันว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่งงานตามค่านิยมของสังคม และหากอยากใส่ชุดเจ้าสาวสักครั้ง ก็เสิร์ฟให้ตัวเองได้เลย

ขอแสดงความเสียใจกับ Yoo Hye-young และครอบครัว หลังจากที่เธอถูกสามีฆาตกรรมทั้งที่แต่งงานกันได้เพียง 3 เดือน จนกลายเป็นข่าวดังในประเทศเกาหลีใต้ โดยสาเหตุที่ผู้เป็นสามีลงมือฆาตกรรมตามคำสารภาพของเขาก็คือ “เธอปฏิเสธที่จะมีเซ็กซ์กับเขา”

“แต่งงานแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น” อาจไม่จริงเสมอไป เมื่อ Toxic Patterns ไม่ได้หายวับไปหลังพิธีสมรส: จากกรณี Yoo Hye-Young ที่ถูกสามีฆาตกรรมหลังแต่งงานได้ 3 เดือน เพราะเธอไม่ยอมมีเซ็กซ์ด้วย

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS