คุยกับนิศาชล อัศวธาระกุล นักจิตวิทยา ว่าด้วยเรื่อง Dilemma Question ที่จะนำไปสู่การค้นหาเหตุผลเบื้องหลังการเลือก และสร้างครอบครัวให้รอดไปด้วยกัน

“หากสามีและลูกจมน้ำพร้อมกัน 
และคุณช่วยได้หนึ่งคน คุณจะเลือกใคร?”
คำถามสุดขั้วที่หลายคนวิจารณ์ 
ในความเป็นจริงคือคำถามภายใต้ Couple Therapy

หลายคนยังคงถกเถียงกับคำถาม “หากสามีและลูกจมน้ำพร้อมกัน และคุณช่วยได้หนึ่งคน คุณจะเลือกใคร?” ที่คุณนิ้ง-โศภิดา มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปี 2018 และสามี เจได-ไตรนุภาพ จิระไตรธาร ได้ออกมาเล่าถึงการพบจิตแพทย์เพื่อตัดสินใจแต่งงานสร้างครอบครัวหลังจากคบหากันได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น โดยคำตอบของคุณนิ้งที่ว่า ‘เลือกสามี’ ก็ได้นำไปสู่ข้อถกเถียงกันมากมาย&nbsp; หลายๆ ข้อความจากคอมเมนต์ในโลกออนไลน์กล่าวไปในทางเดียวกันว่าว่า “ผิดตั้งแต่คำถามแล้วอ่ะ ... ไม่มีควรตั้งคำถามแบบนี้ และคำตอบก็ไม่ควรถูกตัดสินจากใครๆ เพราะนั่นมันเรื่องของเค้า คำตอบเค้าเราไม่ชอบ แล้วคำตอบเราคิดว่าใครจะชอบ”&nbsp; ความน่าสนใจหากได้ไปดูคลิปสัมภาษณ์ในรายการ <a href="https://youtu.be/mQCKFpP1rng?si=mbkis-HUymulIQ56" rel="noopener noreferrer" target="_blank">Woody FM</a> แบบเต็มๆ นี่คือคำถามที่คุณนิ้งได้รับจากนักจิตวิทยาขณะเข้าสู่การบำบัดคู่รัก (Couple Therapy) &nbsp;และคำถามที่หลายคนสงสัยว่า อะไรคือความสำคัญและจุดประสงค์ของคำถามนี้? โอกาสนี้เราเลยอยากชวนไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน กับคุณจูน-นิศาชล อัศวธาระกุล นักจิตวิทยา และ co-founder จาก <a href="https://happymeclinic.com/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">Happy Me Clinic</a> “การถามคำถามจำลองสถานการณ์วิกฤติบีบบังคับ ซึ่งสะท้อนกระบวนการตัดสินใจ หรือการเชื่อมโยงทางอารมณ์ของคนตอบอย่างไร เป็นการกระตุ้นอารมณ์และทดสอบสัญชาตญาณของมนุษย์ หรือทางจิตวิทยา เราจะเรียกว่า Hypothetical Dilemma” คุณจูนกล่าว และอธิบายต่อว่า “Dilemma Question เป็นการโฟกัสว่า ณ ตอนนั้นมันไม่มีเวลาให้คิดถึงกระบวนการ แต่ให้คิดเลยว่าจะเลือกอะไร เป็นการเลือกจากสัญชาตญาณเมื่อมีสถานการณ์คับขันเกิดขึ้นค่ะ ซึ่งสิ่งที่เราจะทำเมื่อเจอสถานการณ์นั้นเราจะทำอัตโนมัติจากอารมณ์ ความผูกพัน ประสบการณ์ในชีวิตส่วนตัว ในการตัดสินใจ เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อหรือ Belief ของผู้ตอบออกมา”&nbsp; “อันนี้มันเป็นเรื่องของการคุยเพื่อวางแผนชีวิตคู่ มันเป็นไปได้ที่นักจิตวิทยาของคุณนิ้งจะใช้ข้อคำถามกระตุ้นให้แต่ละคนเห็นว่าความสำคัญของแต่ละคนต่อความรักที่กำลังตัดสินใจอยู่ด้วยกัน เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่คบกันแค่เดือนเดียว ซึ่งกระตุ้นให้คนที่มาปรึกษาเขาคิดว่าเขาจะเลือกอะไรจริงๆ เป็นการที่ให้เขาคอนเฟิร์มกับตัวเองอีกทีหนึ่งค่ะ ซึ่งน่าจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของคำถามนี้”&nbsp; “การบำบัดจากจิตแพทย์จะทำให้ได้รู้และเข้าใจความคิดของตัวเองก่อนเป็นอย่างแรก เราอยากจะแต่งงานกับคนๆ นี้แน่ๆ แต่เรารู้จักเขาดีแล้วหรือยัง อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจไปกับคนนี้ แล้วเราตัดสินใจจากอะไร สมมติคบกัน 1 เดือนกับ 3 เดือน เราจะเรียกว่า honeymoon period หรือช่วงโปรโมชั่น แต่พอผ่านเวลาไป 3, 6 เดือนหรือ 1 ปี ไม่ใช่ว่าคนที่คบกันนานจะอยู่รอด และไม่ใช่คนที่คบกัน 1-2 เดือนจะแต่งงานกันไปแล้วไม่รอด ไม่ได้มีหลักฐานทางการบำบัดว่าจะรอดหรือไม่รอดจากช่วงเวลาที่คบกัน แต่ส่วนใหญ่คนที่คบกันในเวลาอันสั้นแล้วรอด คือ คนที่รู้จักตัวเอง และเข้าใจความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน”&nbsp; “แต่มองหลักในความเป็นจริงแล้ว การถามคำถามแบบนี้ยังไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาวัดและแม่นยำ หรือมีมาตรวัดที่ชัดเจน ซึ่งเป็นคำถามปลายเปิดที่ไม่มีถูกไม่มีผิด แต่เป็นคำถามที่กระตุ้นให้เราตอบคำถามในสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ตัดสินใจ หากบำบัดด้วยคำถามปลายปิดแบบนี้เยอะๆ ก็มีสิทธิก่อให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวได้เช่นกัน หากเปลี่ยนคำถามว่า ‘ถ้าสามีและลูกจมน้ำพร้อมกัน คุณจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร?’ จะได้ข้อมูลมาวิเคราะห์ที่มากกว่า กระบวนการทั้งหมดทั้งมวล มันดีกับคู่เพราะว่าคนได้เห็นตัวเอง ได้รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร ได้มีความคิดและเป้าหมายที่เหมือนกัน”&nbsp; “คำถามทั้งหมดไม่จำเป็นต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง หรือไปซ้ายหรือขวา แต่เป็นการกระตุ้นให้เขาเห็นระบบความคิด เห็นความรู้สึกของตัวเอง เห็นบทบาททางจิตใจ หรือสิ่งที่เราเรียกว่า unconscious หรือจิตใต้สำนึกที่อยู่ลึกลงไปที่สุดการทำงานของใจมนุษย์ที่อาจมีประโยชน์ในการบำบัดมากกว่า และลดแรงปะทะ หรือเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้”&nbsp; ในความเป็นจริงสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นน้อยมาก และบริบทในชีวิตของคนแต่ละคนรวมถึงสถานการณ์ต่างๆ ก็เป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญดังนั้นในมุมมองของนักจิตวิทยาแล้วจะดูเหตุผลที่รองรับคำตอบเสียมากกว่า ว่าทำไมถึงเลือก ‘สามี’ แต่คุณนิ้งอาจจะเล่าแบบสรุป เร็วๆ ที่ไม่ได้เจาะรายละเอียดในรายการ จึงทำให้คนมีอารมณ์ร่วมและอาจจะตัดสินเธอไปต่างๆ นานา แต่เธอก็ได้โพสต์ถึงเหตุผลอย่างชัดเจนใน <a href="https://www.facebook.com/share/p/1L3HHnCH9V/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">Facebook</a> ว่าทำไมถึงเลือกสามี ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อทางศาสนาคริสต์ เชื่อว่าสามีและภรรยาคือหนึ่งเดียวหากแสดงความรักให้ลูกเห็นจะเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับลูกในด้านอารมณ์ ความรัก และความนับถือในตัวเอง&nbsp;และเมื่อถามว่า&nbsp;เมื่อลูกโตขึ้นแล้วมาเห็นบทสัมภาษณ์นี้จะไม่เสียใจเหรอ?&nbsp;การตอบคำถามของแม่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูกไหม?&nbsp; คุณจูนให้คำตอบว่า “มองในฐานะนักจิตบำบัดลูกอาจจะมีบาดแผลจากการที่สื่อไปตัดทอนคำพูด แต่ถ้ามองในมุมของแม่ แม่จะมีวิธีอธิบายกับลูกอยู่แล้วค่ะ เรื่องของลูกว่าจะมีผลกระทบหรือไม่ เขาต้องมีการคุยกันอยู่แล้ว ว่ามามี้ไปตอบคำถามอันนี้ เพราะมามี้ยังไม่มีหนู ซึ่งเป็นไปได้ที่ลูกเขาจะได้รับการเยียวยา จากคนเป็นแม่ แต่กระแสสังคมจะมีผลกับน้องไหม ซึ่งต้องดูถึงความยืดหยุ่นทางอารมณ์หรือ EQ ของน้องเป็นอย่างไร ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูมาดี สังคมมักจะทำอะไรกับเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว”&nbsp; คำถาม ‘จะช่วยใครระหว่างสามีกับลูก’ จึงไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด แต่มันสะท้อนให้เห็นกระบวนการคิด ความเชื่อ และคุณค่าลึกๆ ในใจของแต่ละคนมากกว่า คำตอบอาจสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ แต่สุดท้ายแล้ว ชีวิตคู่จะรอดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำถามเดียว หากแต่อยู่ที่การเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนข้างๆ และความพร้อมจะเดินไปด้วยกันในวันที่สถานการณ์จริงเข้ามาจริงๆ และที่สำคัญการเลือกไปพบผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เริ่มวางแผนชีวิตคู่ อาจเป็นทางเลือกที่ง่ายและปลอดภัยกว่าการรอจนปัญหาบานปลายแล้วค่อยพากันไปแก้ก็ได้

Niran เป็นธุรกิจ ‘พวงหรีด’ เจ้าแรกและเจ้าเดียวที่มีอนุสิทธิบัตรในการทำพวงหรีดผ้าห่อศพ และต่อยอดมาทำพวงหรีดชุดนักเรียนต่อ ซึ่งตั้งใจช่วยทั้ง ‘คนเป็น’, ‘คนตาย’ และ ‘สิ่งแวดล้อม’ ให้ได้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม นำโดย เอิร์น-อรนภัส บุญอนันตพัฒน์ 

‘Niran’ แบรนด์พวงหรีดจาก ‘ผ้าห่อศพและชุดนักเรียน’ ความตั้งใจลดขยะพวงหรีดซึ่งมีปีละหนึ่งแสนพวง ลดปัญหาขาดแคลนผ้าห่อศพของกู้ภัยในต่างจังหวัด 
และช่วยให้เด็กในถิ่นทุรกันดารเข้าถึงชุดนักเรียน

‘คลินิกไม่อยากไปทำงาน’ (Dislike Going to Work Clinic) มีเป้าหมายเพื่อบำบัดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน โดยตั้งใจออกแบบชื่อคลินิกให้เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่รู้สึกกดดัน อับอาย และถูกสังคมรอบข้างตีตราจากการรักษาทางจิตเวช

‘Dislike Going to Work Clinic’ รพ.จีนเปิด ‘คลินิกไม่อยากไปทำงาน’ รับมือความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เมื่อการเป็นผู้ใหญ่ทำให้หลายคนรู้สึกหมดแพสชัน เหนื่อยล้า และมองไม่เห็นคุณค่าในการทำงาน

ถึงแม้ว่าเราจะเห็นความนิยมของสื่อบันเทิงทั่วโลกที่หันทิศทางไปที่การสร้างคอนเทนต์เอาใจตลาดกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนัง ซีรีส์ คอนเทนต์ออนไลน์ หรือแวดวงหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักของ LGBTQ+ หญิงรักหญิง ชายรักชาย เพื่อตอบรับสังคมที่เปิดกว้างเรื่องเพศ

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

Plair Bunlangkarn

RELATED

HOT TOPICS