ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตของแม่หลังคลอดในสหรัฐฯ​ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อเกือบ 1 ใน 3 ของผู้หญิงอายุประมาณ 25 - 39 ที่ให้กำเนิด มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนและภาวะหลังคลอดต่างๆ ทว่าแม้แต่ในแวดวงการเเพทย์เองกลับยังไม่ได้ตระหนักถึงปรากฏการณ์อันตรายนี้เท่าที่ควรจะเป็น และนี่เองที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้ถูกมองข้าม

งานวิจัยเผย แม่หลังคลอดเสียชีวิตมากขึ้นในสหรัฐฯ และการตัดงบด้านสาธารณสุขอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการสุขภาพหลังคลอดยากขึ้น

ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตของแม่หลังคลอดในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อเกือบ 1 ใน 3 ของผู้หญิงอายุประมาณ 25 - 39 ที่ให้กำเนิด มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนและภาวะหลังคลอดต่างๆ ทว่าแม้แต่ในแวดวงการเเพทย์เองกลับยังไม่ได้ตระหนักถึงปรากฏการณ์อันตรายนี้เท่าที่ควรจะเป็น และนี่เองที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้ถูกมองข้ามเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา งานวิจัยในวารสาร JAMA Network ได้ทำการศึกษาเรื่องอัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จากภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์จนถึงภายในระยะเวลา 1 ปี หลังจากการให้กำเนิด โดยอิงข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ ซึ่งเฝ้าติดตามอัตราการเสียชีวิตขอผู้หญิงตั้งครรภ์ พบว่าแค่เฉพาะในสหรัฐฯ มีตัวเลขแม่หลังคลอดเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 28% นับตั้งแต่ปี 2018 - 2022 และเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลันในช่วงการระบาดของโควิด 19 ในปี 2021 ก่อนตัวเลขจะค่อยๆ ลดลงบ้างหลังจากนั้นในปี 2022“ผลการศึกษานี้เตือนให้เราไม่มองข้ามภาวะทางสุขภาพของคนเป็นแม่” ดร. Rose L. Molina ผู้ช่วยศาตราจารย์ด้านสูติศาสตร์ นรีเวชศาสตร์ และชีววิทยาการเจริญพันธุ์ Harvard Medical School ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทำวิจัยชิ้นนี้มองว่า ถึงเวลาที่ผู้หญิงควรได้รับการดูแลอย่างจริงจังเสียทีตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นตั้งครรภ์ จนถึงช่วงเวลาหลังคลอดอย่างน้อยๆ 1 ปี เนื่องจากสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของแม่ระหว่างตั้งครรภ์จนถึงช่วงเวลาหลังคลอดก็คือ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง รวมถึงภาวะทางจิตเวช เช่น โรคจิตเวชจากการดื่มสุราหรือใช้สารเสพติด ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด และภาวะความผิดปกติของพฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยงให้เเม่หลังคลอดเสียชีวิตมากขึ้น ความเสี่ยงเหล่านี้มักจะอยู่ในช่วงระหว่าง 6 สัปดาห์แรก จนถึง 1 ปี ของการคลอดลูก ซึ่งภายในเวลา 1 ปีนี้เองเป็นช่วงเวลาที่บรรดาแม่ๆ ต่างไม่ได้เฝ้าระวัง และไม่นึกว่าจะยังมีภัยร้ายของสุขภาพซ่อนอยู่&nbsp;นักวิจัยมองว่า อาจเป็นเพราะแม่ยุคใหม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหลังคลอดมากเท่าที่ควร บวกกับปัจจัยทางสังคมและการใช้ชีวิตที่อาจทำให้ต้องเร่งรีบกลับไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาใส่ใจตัวเองมากนัก และหลายคนก็ไม่มีเวลากลับไปตรวจเช็คสุจภาพในระยะเวลาดังกล่าวด้วย ทั้งที่จริงแล้วนั่นเป็นช่วงเวลาเปราะบางและอันตรายที่สุดสำหรับร่างกายของคนที่เพิ่งให้กำเนิด&nbsp;วิทยาลัยผดุงครรภ์และสูตินรีแพทย์อเมริกา แนะนำแม่ทุกคนว่าควรเฝ้าภาวะที่จะเกิดขึ้นหลังคลอดในระหว่าง 12 สัปดาห์แรก และควรกลับไปตรวจเช็คสุขภาพอีกครั้งในช่วง 3 เดือนเเรก จนถึง 1 ปี ของการคลอดอย่างต่อเนื่องเพื่อความปลอดภัย&nbsp;นักวิจัยมองว่าอัตราการเสียชีวิตของแม่หลังคลอดที่พุ่งสูงขึ้นนี้ค่อนข้างน่ากังวลมาก เพราะมันได้ชี้วัดว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีอัตราแม่เสียชีวิตหลังคลอดสูงที่สุดหากเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วโลก และความเสี่ยงของการเสียชีวิตของแม่หลังคลอดนี้ก็น่าเป็นห่วงตรงที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้มีความเปราะบางทางสังคม คนชายขอบ รวมถึงชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ และยังอาจสอดคล้องกับ อัตราเด็กทารกเสียชีวิต ที่พุ่งสูงขึ้นในกลุ่มเปราะของสหรัฐฯ อย่างมีนัยยะสำคัญด้วย &nbsp;แม้ว่าผลการวิจัยนี้อาจเป็นการช่วยเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ หันมาพิจารณายืดเวลาโปรแกรมประกันสุขภาพของรัฐฯ ที่ให้ความคุ้มครองผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบางต่างๆ รวมถึงแม่หลังคลอดนาน 60 วัน ถึง 1 ปี ได้บ้าง แต่การตัดงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานด้านสาธารณสุข การเลย์ออฟเจ้าหน้าจำนวนมาก และการปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐฯ ครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย่อมส่งผลกระทบให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุขหนักขึ้นอย่างแน่นอนหลังจากนี้&nbsp;ซึ่งนั่นอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเลขของแม่ที่เสียชีวิตหลังคลอดสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพหลังคลอดได้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ&nbsp;อ้างอิงhttps://www.nytimes.com/2025/04/09/health/maternal-death-pandemic.html

หลายคนคงมีความฝันว่าในช่วงเวลาบั้นปลายชีวิต แทนที่จะอยู่ตัวคนเดียว อยากจะอยู่กับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานในบ้านเดียวกันหรือหาบ้านพักคนชราที่จะย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ง่ายๆ แต่โมเดลของเหล่าคุณยายที่เรียกตัวเองว่า “Koko Seven” (個個セブン) ทำให้เรามองเห็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง

Koko Seven เหล่าคุณยายญี่ปุ่นเจ็ดคนที่โสดมาทั้งชีวิต เริ่มสร้างมิตรภาพร่วมกัน
ตอนแก่ชรา และตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนกันไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย

เนื่องใน IDAHOT เราชวนมาทบทวนว่า มีอะไรบ้างที่คนในสังคมยังขาดความตระหนักรู้ถึงปัญหาการเหยียดเพศและเลือกปฏิบัติที่กลุ่ม LGBTQ+ เผชิญกันมาอย่างยาวนาน เพราะแม้ไทยเราจะมีสมรสเท่าเทียมแล้วก็จริง แต่ใช่ว่า นั่นคือจุดจบของการขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียม

IDAHOT กับการเหยียดเพศและกีดกัน LGBTQ+ ที่อาจเกิดขึ้นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาฟรานซิส เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา พระคาร์ดินัล โรเบิร์ต เพรวอสต์ (Robert Francis Prevost) ก็ได้รับเลือกให้รับหน้าที่ต่อในฐานะผู้นำสูงสุดของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ผู้ทรงได้รับการขนานนามว่าสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 (Pope Leo XIV) ด้วยพระชนมายุ 69 พรรษา 

แด่ความหวังแห่งความหลากหลาย : สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 โป๊ปชาวอเมริกันผู้อาจเป็นความหวังของการโอบรับความหลากหลายทางเชื้อชาติ กับคำถามที่ยังคงรอคำตอบเรื่องการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศหลังจากนี้ 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS