จากงานวิจัยในวารสาร The American Medical Association ล่าสุดที่เพิ่งเปิดเผยออกมาในเดือนนี้ พบว่านับตั้งแต่ปี 2012 - 2023 อัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกในอเมริกาทะยานพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์มากกว่า 4 เท่า ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของทารกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้เอง อาจเชื่อมโยงได้กับกฎหมายแบนทำแท้งในอเมริกา เมื่อมันอาจกระตุ้นให้ปัญหาอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก  

งานวิจัยล่าสุดพบ ตัวเลขเด็กทารกในสหรัฐฯ เสียชีวิตพุ่งขึ้น อาจเชื่อมโยงกับกฎหมายแบนทำแท้งที่ทำให้ผู้หญิงจำเป็นต้องคลอดบุตร แม้พบความผิดปกติของทารก

จากงานวิจัยในวารสาร The American Medical Association ล่าสุดที่เพิ่งเปิดเผยออกมาในเดือนนี้ พบว่านับตั้งแต่ปี 2012 - 2023 อัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกในอเมริกาทะยานพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์มากกว่า 4 เท่า ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของทารกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้เอง อาจเชื่อมโยงได้กับกฎหมายแบนทำแท้งในอเมริกา เมื่อมันอาจกระตุ้นให้ปัญหาอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก &nbsp;ในรายงานยังพบด้วยว่า อัตราการเสียชีวิตของทารกพุ่งสูงขึ้นมากกว่าอัตราการเสียชีวิตของทารกตามปกติมากกว่า 11% และในจำนวนนั้นก็พบว่าเป็นเด็กทารกผิวสี อีกทั้งตัวเลขนี้ก็นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิชาการ เมื่อเทียบกับตอนที่อเมริกายังไม่มีกฎหมายแบนทำแท้ง&nbsp;ดร. Suzanne Bell ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัย Johns Hopkins Bloomberg ซึ่งเป็นผู้ร่วมทำงานวิยนี้มองว่า กฎหมายแบนทำแท้งส่งผลกระทบอย่างแน่นอนกับตัวเลขการเสียชีวิตของทารกเหล่านี้ ไม่ใช่แค่นั้น มันยังทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำของเชื้อชาติ ปัญหาจำนวนประชากรไม่ได้สัดส่วน และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะกับ ‘กลุ่มเปราะบาง’ ที่ด้อยเสถียรภาพทางสังคมทางภาคใต้ของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรผิวสีกว่าครึ่งของประเทศอาศัยอยู่ และเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกพุ่งสูงขึ้นมากที่สุดด้วย หนึ่งในนั้นคือรัฐเท็กซัส ที่นักวิชาการเรียกว่า ‘Outsized Influence’ หมายถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเสียชีวิตของทารกหนักที่สุดโดยที่เท็กซัสเป็นรัฐที่มีกฎหมายห้ามทำแท้งหลัง 6 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ก่อนหน้ารัฐอื่นๆ ในอเมริกาแถมยังมีปัจจัยด้านความห่างไกล และปัจจัยในการเข้าถึงการทำแท้งได้ยากที่สุดด้วย เมื่อเทียบกับอีก 14 รัฐ อื่นๆ ในอเมริกาที่แบนทำแท้งหลัง 6 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์เหมือนๆ กันงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า ชุมชนผิวสีในพื้นที่ที่มีรายได้น้อย มีโอกาสทางการศึกษาต่ำ และไม่สามารถเข้าถึงบริการหรือสวัสดิการสุขภาพได้ จะเป็นคนกลุ่มแรกที่รับผลกระทบจากการแบนทำแท้งมากที่สุด เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่ปัจจัยเริ่มต้น อย่างบริการการวางแผนครอบครัว คลินิกแม่และเด็ก ไปจนถึงการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย ทำให้หลายๆ คนจำเป็นต้องเผชิญกับการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องการ แม้จะพบว่าทารกเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ก็ไม่สามารถเข้าถึงบริการการทำแท้งที่ปลอดภัยและถูกกฎหมายได้ โดยกว่า 11% ของเด็กทารกที่เสียชีวิตนั้นเกิดจากความผิดปกติที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจและกระดูกสันหลัง และหากคลอดออกมาก็มักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือนเท่านั้น &nbsp;&nbsp;เวลานี้ การทำแท้งยังคงผิดกฎหมายในกว่า 12 รัฐฯ ของอเมริกา และแม้ว่าในบางรัฐจะยังอนุญาตให้มีการทำแท้งถูกกฏหมาย หรือยังสามารถเดินทางข้ามรัฐเพื่อไปทำแท้งได้อยู่ก็จริง แต่ดูเหมือนว่าความหวังจะเริ่มริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่การคว่ำร่างกฎหมาย Roe V. Wade เมื่อปี 2022 ต่อเนื่องมาถึงนโยบายของประธานาธิบดีคนล่าสุด Donald Trump ที่กลับมาเดินหน้าแบนการทำแท้งในทุกวิถีทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งล่าสุดที่มีการสั่งตัดเงินทุนหน่วยงานที่สนับสนุนการทำแท้ง ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งทำให้การทำแท้งปลอดภัย ที่ควรจะเป็นหนึ่งในบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานของคนในประเทศเป็นไปได้ยากมากขึ้น&nbsp;ความเห็นจาก Alyssa Bilinski อาจารย์ และนักวิชาการคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบราวน์ ยังมองว่านอกจากงานวิจัยนี้จะแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของกฎหมายแบนทำแท้งแล้ว สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ควรมองเห็นก็คือความสำคัญของสิทธิและสวัสดิการต่างๆ ของประชาชน ทั้ง โครงการประกันสุขภาพ การลาคลอด หรือการลาหยุดเพื่อเลี้ยงดูลูก เช่นเดียวกับสวัสดิการการดูแลเด็กที่ควรจะเข้าถึงง่ายและครอบคลุมมากกว่านี้ เพื่อดูแลทั้งคนที่ตั้งครรภ์ รวมถึงประชากรเด็กทารกที่จะเกิดมาด้วย&nbsp;เพราะถึงแม้ว่าแนวคิดเรื่องการทำแท้งของคนในประเทศจะเห็นต่างกันอย่างไร จะเกิดการถกเถียงเรื่องนี้กันอีกต่อไปมากแค่ไหน เด็กทุกคนก็ควรมีโอกาสได้เกิด และเติบโตอย่างเท่าเทียมกันอ้างอิง&nbsp;<a href="https://time.com/7225531/infant-mortality-births-increased-states-abortion-bans-studies/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://time.com/7225531/infant-mortality-births-increased-states-abortion-bans-studies/</a><a href="https://edition.cnn.com/2025/02/13/health/abortion-bans-lead-to-births-infant-deaths/index.html" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://edition.cnn.com/2025/02/13/health/abortion-bans-lead-to-births-infant-deaths/index.html</a><a href="https://mirrorthailand.com/movinon/socialissues/102127" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://mirrorthailand.com/movinon/socialissues/102127</a>

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา อีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากคือ ‘การทำงานของสื่อมวลชน’ เนื่องจากสำนักข่าวบางส่วนยังคงเลือกสัมภาษณ์แหล่งข่าว ‘ผู้ประสบภัย’ ณ ที่เกิดเหตุ ซึ่งเพิ่งเผชิญสถานการณ์เลวร้ายและกระทบจิตใจอย่างตึกถล่มมาได้ไม่นาน

‘ซ้ำเติมผู้เสียหาย’ การทำงานที่ไร้จรรยาบรรณของสื่อ อีกหนึ่งบทเรียนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและตึกถล่ม ที่สื่อมวลชนไทยบางส่วนไม่เคย (ยอม) เรียนรู้เสียที

“เธอโยกอยู่ในฟลอร์ ซ้าย ขวา ซ้าย เธออยากโดน ‘เซ็ตหย่อ’ หันหลังมา” ท่อนไวรัลที่เต้นกันม่วนๆ กับเพลง ‘CHI MI’ จาก YOUNGGU ฟีเจอริ่งกับ GUNNER ที่ฟังผ่านๆ ก็ดูเป็นเพลงจังหวะสนุก แต่ปัญหาที่น่าพูดถึงไม่น้อยคือการที่มี ‘ภาษาคุก’ ปรากฏอยู่อย่างคำว่า ‘เซ็ตหย่อ’ ซึ่งแฝงไปด้วยความรุนแรงทางเพศที่ LGBTQ+ รวมถึงผู้ชายในคุกต้องเผชิญ

คนทั่วไปอาจขำๆ แต่คนเคยโดนอาจไม่ตลก เมื่อ “เซ็ตหย่อ” / “หนมน้า” ภาษาคุกที่แฝงด้วยความรุนแรงทางเพศ ยังถูกใช้อย่างสนุกปาก แถมปรากฏในเพลงไวรัลที่เด็กๆ ก็ร้องกัน

ไม่แปลกที่การเห็นภาพใครบางคนจะก้าวไปมีชีวิตหรูหรา สุขสบายได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก นอกจากใช้ ‘ตัวเอง’ เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน จะกลายเป็นภาพที่ชวนให้ขัดใจอยู่ลึกๆ สำหรับใครหลายคน 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS