โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังจะพาประเทศกลับสู่ความเป็นอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะเรื่อง ‘สิทธิคนข้ามเพศ’ ซึ่งอนาคตก็อาจขยับไปต่อต้านสิทธิ LGBTQ+ หลายๆ สิทธิ์อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น

ยุคทองอเมริกา (?) ที่กีดกันคนข้ามเพศเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ จำกัดไม่ให้เด็กทรานส์ค้นหาตัวเอง แทรกแซงบริการสุขภาพเพศของทรานส์ และประกาศให้นับจากนี้ อเมริกามีแค่ “ชายกับหญิง”

เรียกได้ว่าเป็นก้าวที่น่าสะเทือนใจสำหรับสหรัฐอเมริกา เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังจะจัดระเบียบ เซตระบบ พาประเทศกลับสู่ความเป็นอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะเรื่อง ‘สิทธิคนข้ามเพศ’ ซึ่งอนาคตก็อาจขยับไปต่อต้านสิทธิ LGBTQ+ หลายๆ สิทธิ์อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นเขายังวางตัวเป็นฮีโร่พูดเสียงดังฟังชัดในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งว่าจะ “หยุด Woke!” และ “ยุติความบ้าคลั่งของพวกคนข้ามเพศซะ!” ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ดังกึกก้อง…ที่ชวนให้สะท้อนใจเอามากๆ“ผมจะลงนามสั่งห้ามการขลิบอวัยวะเพศในเด็ก เอาพวกคนข้ามเพศออกจากกองทัพ และเอาออกจากโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย” ซึ่งคำว่าขลิบอวัยวะเพศ (Sexual Mutilation) ในที่นี้ ทรัมป์ สื่อถึงการผ่าตัดแปลงเพศของคนข้ามเพศ และยังย้ำว่า “มันจะเป็นนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่มีเพียงสองเพศเท่านั้น คือผู้ชายและผู้หญิง” โดยเขาสัญญาว่าอเมริกาในยุคของเขาจะเป็น “ยุคทองของอเมริกา” และวันที่ 20 มกราคมปี 2025 ที่เขาต้องเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง จะเป็น ‘วันประกาศอิสรภาพ’ ของอเมริกาจุดยืนอันชัดเจนของทรัมป์อย่างเรื่องการแบนผ่าตัดแปลงเพศในเด็ก อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่น่าเก็บไปพิจารณา หากเขาคิดบนฐานที่ว่า อยากให้เด็กได้คิดถี่ถ้วนหรือมีเวลาได้ค้นหาตัวตนของตัวเองก่อนจะตัดสินใจผ่าตัดครั้งใหญ่ แต่ว่า การแบนครั้งนี้ของทรัมป์ อาจไม่ใช่การหวังดีต่อเด็กๆ เพียงเท่านั้น แต่ยังมีปลายทางที่ต้องการกำจัดและลดประชากร ‘คนข้ามเพศ’ ในประเทศให้น้อยลง ด้วยการยึดสิทธิ์ที่จะเป็นตัวเองของพวกเขา ดูได้จากการที่เขาต้องการจะขับไล่นักเรียนทรานส์ออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ใจร้ายและละเมิดสิทธิมนุษยชนในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเห็นได้ชัด เพราะการจะให้เด็กค้นหาตัวตนของตัวเองจริงๆ ย่อมไม่ใช่การสั่งว่า “ห้ามเป็นคนข้ามเพศ” เพราะว่าถ้าเกิดคุณเป็น คุณจะไม่ได้เรียนแน่ๆทั้งนี้ 26 รัฐในอเมริกาได้ผ่านคำสั่งห้ามให้ผู้เยาว์ได้รับการดูแลด้าน gender-affirming care บางรัฐก็ได้พิจารณาที่จะห้ามการดูแลผู้ใหญ่ที่มีอายุไม่เกิน 26 ปี และหลายรัฐก็ห้ามไม่ให้มีการใช้เงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ใหญ่ข้ามเพศ ‘ทุกอายุ’ อีกด้วย ซึ่งบริการดังกล่าวอาจรวมถึง การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต การใช้ฮอร์โมนบำบัด การผ่าตัดแปลงเพศ การผ่าตัดหน้าอก การศัลยกรรมใบหน้าและผ่าตัดกล่องเสียงในโมงยามนี้ ประชาชนคนข้ามเพศในสหรัฐที่มีผู้ใหญ่อยู่ประมาณ 1.3 ล้านคน และมีเยาวชนอยู่อีก 300,000 คน กำลังจะได้รับผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพจิต ที่อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย เหมือนนโยบายของทรัมป์จะเป็นการสังหารพวกเธอ และพวกเขา ในทางอ้อมLisa Diamond นักวิจัยด้านจิตวิทยาจาก Utah และ National LGBTQI+ Cancer Network ได้ทำการสำรวจจนพบว่าเยาวชน LGBTQ+ เรียกร้องให้มี mental health crisis เพิ่มขึ้นถึง 700% ทันทีหลังวันเลือกตั้งและในการประเมินหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ความวิตกกังวลพวกคนข้ามเพศก็เพิ่มขึ้น 45% มีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 19% และรู้สึกหวาดกลัวถึง 30%&nbsp;“วันที่ 5 พฤศจิกายน (วันเลือกตั้ง) ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ทางการเมือง แต่เป็นเหตุการณ์ด้านสาธารณสุขสำหรับ LGBTQ+ โดยเฉพาะบุคคลข้ามเพศ” Lisa Diamond กล่าว เพราะนับจากวันนั้น อเมริกาก็ไม่เหมือนเดิม และคนจำนวนหนึ่งสิ้นหวังกับชีวิตจริงๆ&nbsp;อย่างไรก็ตาม คนข้ามเพศในอเมริกาหลายคนเริ่มวางแผนชีวิตหลังจากนี้ท่ามกลางความเครียดว่าจะใช้ชีวิตกันอย่างไรต่อ และบางคนอาจคิดถึงการย้ายประเทศ เพื่อไปหาพื้นที่ปลอดภัยในการเป็นตัวเอง ซึ่งนับเป็นอะไรที่น่าเศร้าเป็นอย่างมาก และแน่นอนการแบนที่ชัดเจนของทรัมป์นี้ จะทำให้เด็กๆ ไม่กล้าเป็นตัวเอง ไม่กล้าค้นหาตัวเอง เพราะถูกบอกแล้วว่า การเป็นคนข้ามเพศ = เป็นความผิด เพราะถ้าจะเป็นคนดีตามแบบฉบับอเมริกา ต้องเป็น Cisgender เท่านั้น ซึ่งนั่นนับว่าใจร้าย และส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวของเด็กๆ เป็นแน่ รวมไปถึงผู้ใหญ่ข้ามเพศที่ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดหวั่น ทั้งคนที่ข้ามเพศมาแล้ว หากถูกจำกัดการดูแลสุขภาพ จะส่งผลอย่างหนักต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เมื่อการข้ามเพศเป็นการดูแลสุขภาพที่ต้องดูแลโดยแพทย์อย่างใกล้ชิดไปตลอดชีวิต หรือคนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการข้ามเพศ ลู่ทางในการหาพื้นที่ปลอดภัยในการดูแลสุขภาพกายและใจ ก็กลายเป็นหายากเข้าไปอีก เหมือนกลับสู่ยุคหนึ่งที่ผู้คนต้องลองหาใช้ฮอร์โมนกันอย่างผิดๆ ถูกๆ เพราะการเข้าถึงบริการอย่างถูกต้องมันไม่ได้มีให้เลือกมากนัก&nbsp;และที่น่าพูดถึงอีกอย่างในฐานะคนไทย คือจุดยืนของทรัมป์จากข่าวใหญ่ครั้งนี้ ทำให้เราเห็นคนไทยด้วยกัน แสดงท่าทีเห็นด้วยกับทรัมป์เป็นจำนวนมาก และหลายคนก็มองว่า นี่มัน “เจริญมาก” สมกับเป็นอเมริกา ซึ่งก็สะท้อนได้ชัดว่า มีคนไทยอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจสิทธิ์ของคนข้ามเพศ และเกลียดชังคนข้ามเพศอยู่แล้วเป็นทุนเดิม บางคนอ้างว่า ทรัมป์ทำถูกแล้ว เพราะเด็กๆ ไม่ควรจะมารับฮอร์โมนกันตั้งแต่เด็ก เพราะจะทำให้เขาไม่ได้เป็นตัวเขาอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่ นั่นอาจจะเป็นตัวตนที่วัยรุ่นทรานส์กำลัง explore อยู่ก็ได้ และการใช้ฮอร์โมนโดยผ่านการดูแลจากแพทย์ ย่อมปลอดภัย ที่สำคัญ การใช้ฮอร์โมน ไม่ได้ทำให้คน “อยากเป็นผู้หญิง” หรือ “อยากเป็นผู้ชาย” มากขึ้น นั่นไม่ใช่ยาวิเศษที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกหรือตัวตนของคนได้ เพียงแต่เป็นยาที่ช่วยทำให้ร่างกายของเราค่อยๆ ข้ามไปเป็นเพศที่เลือกเอง ซึ่งสมมติวันหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าทางนี้ไม่ใช่ ก็สามารถเลิกบำบัดฮอร์โมนได้ เหมือนที่ LGBTQ+ บางคน ก็เคยเทคฮอร์โมน และหยุดรับฮอร์โมนดังนั้น การอ้างว่า ความเสรีเรื่องการเข้าถึงบริการการข้ามเพศจะทำให้เด็กชายแท้ หญิงแท้ กลายเป็น LGBTQ+ มากขึ้น นั่นคือวิธีคิดแบบเหยียดเพศ และเป็นวิธีคิดที่เชื่อว่าโลกนี้มีแค่ชายกับหญิง ซึ่งมันโลกแคบจนน่าใจหาย และน่าใจหายไปอีก เมื่อการขับไล่นักเรียนข้ามเพศของทรัมป์ออกจากโรงเรียน เป็นเรื่องถูกใจคนไทยหลายชีวิต นั่นหมายถึงบางคนกำลังเห็นด้วยว่า ถ้าอยากจะเรียน ก็ต้องแอ๊บแมน? แอ๊บสาว? เพื่อให้ได้เรียน และเห็นด้วยว่า เด็กที่ไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้ ไม่ควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน ใช่หรือไม่? และนั่นก็หมายถึงว่า แม้เรากำลังจะมีสมรสเท่าเทียม แต่เราก็ยังคงต้องผลักดันเรื่องความเท่าเทียมทางเพศที่เป็นมิตรกับทุกคนและทุกเพศจริงๆ กันอีกยาววันนี้ทรัมป์แบนคนข้ามเพศ วันหน้าทรัมป์อาจแบนสิทธิ LGBTQ+ ครบทุกตัวอักษร และวันถัดๆ ไป ทรัมป์อาจกำจัดสิทธิของผู้หญิงในประเทศอีกมากมาย เช่น การเดินหน้ายุติการทำแท้ง ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยทำสำเร็จมาแล้ว และท้ายที่สุด ไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ผู้คนก็ไม่ควรต้อง ‘อยู่ยาก’ เพียงเพราะเพศของตัวเอง นั่นต่างหากจึงจะเข้าใกล้คำว่าดินแดนแห่งเสรีภาพที่แท้จริง&nbsp;อ้างอิง:<a href="https://www.nytimes.com/2024/12/22/us/politics/trump-speech-turning-point-arizona.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.nytimes.com/2024/12/22/us/politics/trump-speech-turning-point-arizona.html&nbsp;</a><a href="https://www.france24.com/en/live-news/20241223-trump-vows-to-stop-transgender-lunacy-as-a-top-priority" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.france24.com/en/live-news/20241223-trump-vows-to-stop-transgender-lunacy-as-a-top-priority&nbsp;</a><a href="https://fortune.com/well/2024/12/23/fleeing-the-country-rationing-testosterone-transgender-americans-new-reality-under-trump-presidency/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://fortune.com/well/2024/12/23/fleeing-the-country-rationing-testosterone-transgender-americans-new-reality-under-trump-presidency/</a>

ไม่แปลกที่การเห็นภาพใครบางคนจะก้าวไปมีชีวิตหรูหรา สุขสบายได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก นอกจากใช้ ‘ตัวเอง’ เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน จะกลายเป็นภาพที่ชวนให้ขัดใจอยู่ลึกๆ สำหรับใครหลายคน 

ทำไมคนถึงอยากสมน้ำหน้า “ผู้หญิงที่อยากได้คนรวย แต่ดันพลาด” ทั้งที่ทุกคนควรมีสิทธิเลือกทางในชีวิตตัวเอง

ประชาชนทางภาคเหนือประสบปัญหา ‘ไฟไหม้ป่า’ มาเป็นระยะเวลานาน จนปัจจุบัน ระดับไฟป่าทวีคูณความรุนแรงมากขึ้น โดยลุกลามเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศอย่าง PM 2.5

‘ไฟไหม้ป่าภาคเหนือ’ ปัญหาเรื้อรังที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะมีชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่เป็นเดิมพัน หลายพื้นที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน WHO

“Feminine Energy ทำให้ชีวิตของผู้หญิงง่ายขึ้น” กลายเป็นวาทกรรมสอนหญิงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแพลตฟอร์ม TikTok โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มักระบุว่า หากผู้หญิงเพิ่ม Feminine Energy มากขึ้น จะทำให้พวกเธอสามารถดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา นำไปสู่การมีชีวิตที่สบายขึ้น รวมถึงหากนำไปปรับใช้กับด้านความสัมพันธ์ จะส่งผลให้ได้รับการปฏิบัติที่ดีแบบ Princess Treatment จากคนรัก

“Feminine Energy ทำให้ชีวิตผู้หญิงง่ายขึ้น” วาทกรรมสอนหญิงจาก TikTok ที่ชวนให้คนกลับสู่กรอบบทบาททางเพศ เพื่อจะมีชีวิตที่ดี ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงแบบไหน ก็สามารถมีชีวิตที่ดี และความรักที่คู่ควรได้

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS