สำหรับ Unpaid Care Work ที่เมื่อไม่ได้สร้างรายได้ให้กับครอบครัว ก็หมายถึงการไม่ได้รับค่าแรง แต่มักถูกมองว่าเป็นการแลกเปลี่ยน/ตอบแทนที่อีกฝ่ายเป็นคนหาเงินเลี้ยงดูแทน ซึ่งสำหรับหลายครอบครัวทั่วโลก คนที่ต้องรับผิดชอบ Unpaid Care Work เหล่านี้ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา

Unpaid Care Work งานดูแล-งานในบ้านที่ต้องอาศัยทั้งแรงกาย แรงใจ แต่ไม่เคยได้ค่าแรง แถมต้องเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจเพียงลำพัง

สำหรับหลายๆ คน เมื่อเริ่มสร้างครอบครัวแล้ว ก็มักจะต้องมีฝ่ายหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายหญิงที่ต้องลาออกจากงานเพื่อมาเป็น ‘แม่บ้านเต็มตัว’ ทั้งดูแลบ้าน จัดการสารพัดสิ่งในครัวเรือน ทำกับข้าว ซักล้าง ขัดถู จนถึงดูแลลูก หรือญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว ฯลฯ และแทบจะร้อยทั้งร้อย งานที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและอาศัยแรงกายแรงใจมหาศาลเหล่านี้ กลับไม่เคยได้รับ ‘ค่าแรง’ และหลายครั้งก็แทบจะไม่ถูกนับว่าเป็นการทำงานด้วยซ้ำ&nbsp;งานที่มักไม่ถูกนับว่าเป็นหน้าที่การงานเหล่านี้ก็คือ Unpaid Care Work ที่เมื่อไม่ได้สร้างรายได้ให้กับครอบครัว ก็หมายถึงการไม่ได้รับค่าแรง แต่มักถูกมองว่าเป็นการแลกเปลี่ยน/ตอบแทนที่อีกฝ่ายเป็นคนหาเงินเลี้ยงดูแทน ซึ่งแม้หลายๆ คู่จะสามารถสร้างข้อตกลงร่วมกันได้อย่างสมดุลดี แต่สำหรับอีกหลายครอบครัวทั่วโลก คนที่ต้องรับผิดชอบ Unpaid Care Work เหล่านี้ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เพราะนั่นหมายความว่าสถานะทางการเงินของพวกเธอต้องขึ้นอยู่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายหาเลี้ยงเท่านั้น และสามารถนำไปสู่หลายๆ กรณีที่เรามักเห็นกันผ่านข่าวต่างๆ อย่างเช่นคนที่ไม่สามารถออกจากความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงได้ หรือคนที่ไม่สามารถหย่าร้างได้ เพราะจะหมายถึงการไม่มีเงิน หรือกระทั่งไม่มีที่อยู่อาศัยในทันทีแน่นอนว่าประเด็นที่ผูกติดมากับ Unpaid Care Work ก็คือเรื่องของบทบาททางเพศ ที่ส่วนใหญ่แล้วยังมีกรอบกำหนดกลายๆ ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ควรต้องทำงานเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงอะไร (ยังไม่นับว่าผู้หญิงหลายคนออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวไม่ต่างจากสามี ก็ยังต้องเป็นฝ่ายทำงานบ้านมากกว่าผู้ชายอยู่ดีด้วย) ซึ่งข้อมูลที่ยกมาด้านล่างนี้ น่าจะพอบอกอะไรกับเราได้บ้างข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ระบุว่ามีผู้หญิง 42% ทั่วโลกไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ เพราะต้องดูแลงานบ้านเต็มเวลา และในปี 2021 ก็มีผู้หญิงกว่า 47 ล้านคนทั่วโลก ถูกผลักไปสู่ภาวะยากจนสุดขีด เพราะต้องติดอยู่กับ Unpaid Care Work และตัวเลขนี้ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างเพศกว้างขึ้น&nbsp;ขณะที่ข้อมูลของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Economic and Social &nbsp;for Asia and Pacific) หรือ ESCAP ระบุว่าผู้หญิงในภูมิภาคของเราใช้เวลาโดยเฉลี่ยกว่า 11 ชั่วโมงไปกับ Unpaid Care Work ซึ่งมากกว่าเวลาโดยเฉลี่ยที่ผู้ชายทำงานเหล่านี้ถึง 4 เท่า ซึ่งนอกจากจะทำให้พวกเธอต้องสูญเสียโอกาสในการทำงานที่สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว ยังมีส่วนให้พวกเธอสูญเสียเวลาในการดูแลตัวเอง รวมถึงมีเวลาพักผ่อน เวลาสันทนาการ และเวลาพัฒนาทักษะอื่นๆ น้อยลง หลายคนมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยลง ซึ่งส่งผลถึงความมั่นใจในตัวเอง และยิ่งทำให้พวกเธอพลอยรู้สึกว่าต้องพึ่งพิงสามีมากขึ้นด้วยทั้งที่จริง มีตัวเลขจาก UN Women ที่ระบุว่างานดูแลภายในบ้านทั้งหลาย มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ โดยมีสัดส่วนใน GDP ของแต่ละประเทศสูงถึง 10-39% เพราะที่สุดแล้ว Care Work ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต และรวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานของเหล่าคนทำงานทุกๆ คน ดังนั้นการมองว่างานเหล่านี้ไม่มีคุณค่ามากเท่างานนอกบ้าน เพียงเพราะมันไม่ได้ทำเงินเข้าบ้าน จึงคงไม่นับว่าถูกต้องนัก&nbsp;ดังนั้นแล้ว เราควรต้องมีการจ่ายค่าแรงให้กับ care workers ทุกคนใช่ไหม? คำตอบอาจไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะเงื่อนไขและปัจจัยของแต่ละคู่ แต่ละครอบครัวย่อมต่างกัน แต่การตระหนักเสมอว่างานดูแลในบ้านก็คืองานที่ไม่ได้มีคุณค่าน้อยไปกว่าการทำงานนอกบ้าน น่าจะช่วยให้การแบ่งหน้าที่ในบ้านเป็นไปอย่างเท่าเทียมมากขึ้น เพื่อไม่ต้องให้ใครเป็นฝ่ายเผชิญความเสี่ยงที่ต้องสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจแต่เพียงฝ่ายเดียวนั่นเองอ้างอิง<a href="https://www.globalcitizen.org/en/content/womens-unpaid-care-work-everything-to-know/#:~:text=Unpaid%20care%20work%20includes%20household,and%20they%20are%20often%20overlooked" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.globalcitizen.org/en/</a> &nbsp;<a href="https://www.unescap.org/blog/unpaid-care-and-domestic-work-silent-backbone-asia-and-pacific" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.unescap.org/blog/unpaid-care-and-domestic-work-silent-backbone-asia-and-pacific</a>&nbsp;<a href="https://www.unwomen.org/en/news/in-focus/csw61/redistribute-unpaid-work" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.unwomen.org/en/news/in-focus/csw61/redistribute-unpaid-work</a>

แม้ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาจะยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ดูเหมือนว่าหมูเด้งจะทายถูกแล้วแน่ๆ และโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะได้กลับมา “Make America Great Again!”แต่มันคือข้อยืนยันเรื่องการหันขวาของคนจำนวนมากที่ยื่นชัยชนะเข้ามือชายอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรงคนนี้ และชัยชนะของเขาก็อาจส่งผลต่อสิทธิมนุษยชนในหลายๆ ประเด็นให้ถดถอยลง โอกาสนี้เราเลยอยากรวมรวบประเด็นที่น่ากังวลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในอเมริกา เมื่อทรัมป์กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง


 เมื่อชัยชนะครั้งที่ 2 ของ Donald Trump 
ผู้ “อยากทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” 
อาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับหลายคน

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น อาเจะห์คือจังหวัดที่ยังมีการลงโทษคนด้วยการเฆี่ยนตี และมีกฎหมายบังคับให้ผู้หญิงต้องสวมใส่ฮิญาบ อีกทั้งผู้หญิงส่วนมากยังต้องอยู่แต่ในบ้านและมีโอกาสทางการศึกษาและอาชีพน้อยกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้น สำหรับพื้นที่อื่นๆ บนโลกนี้ การมีผู้หญิงเป็นเจ้าของร้านกาแฟคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่สำหรับที่อาเจะห์ นี่เป็นเรื่องที่น่าพูดถึง

Morning Mama 
ร้านกาแฟโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิงในจังหวัดอาเจะห์ พื้นที่สุดคอนเซอร์เวทีฟ ในประเทศอินโดนีเซียที่ร้านกาแฟคือ ‘โลกของผู้ชาย’ มาตลอดหลายปี


ท่ามกลางโลกทุกวันนี้ที่บีบบังคับให้เราต่างต้องประสบความสำเร็จ มุ่งไปข้างหน้า คาดหวังให้เราเป็นยอดมนุษย์ในทุกๆ เรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็กดดันให้เราวิ่งวนเป็นวงกลมไปกับข้อมูลอันท่วมท้นภายนอกที่ทำให้เราไม่มีเวลากลับมาสนใจโฟกัสกับความเป็นปัจจุบัน หรือแม้แต่ฟังเสียงของตัวเราเองอย่างที่ควรจะเป็น จนผลักให้ใครหลายคนต้องเผชิญกับภาวะ Mental Exhaustion หรือภาวะ Burnout ในท้ายที่สุด

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS