การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แล้ว แต่ก็ไม่วายมีประเด็นร้อนให้ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชนพร้อมใจกันร่วมกันลงนามในจดหมายถึงผู้มีอำนาจในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ ณ​ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เรียกร้องให้ยกเลิกกฎการห้ามสวมฮิญาบในการแข่งขัน 

องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ฝรั่งเศส
ยกเลิกกฎ ‘ห้ามสวมฮิญาบ’ เข้าแข่งขันใน
โอลิมปิก 2024 เพราะนับเป็นการเลือกปฏิบัติที่กีดกันทั้งเรื่องเพศและศาสนา

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แล้ว แต่ก็ไม่วายมีประเด็นร้อนให้ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชนพร้อมใจกันร่วมกันลงนามในจดหมายถึงผู้มีอำนาจในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เรียกร้องให้ยกเลิกกฎการห้ามสวมฮิญาบในการแข่งขัน&nbsp;องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International องค์กร Human Rights Watch รวมถึงอีกร่วม 10 กว่าองค์กร ออกหนังสือเรียกร้องไปถึงประธานคณะกรรมการโอลิมปิก นาย โทมัส แบช (Thomas Bach) ให้พิจารณาใหม่อีกครั้งว่าการแบนฮิญาบในโอลิมปิกนั้น อาจสวนทางกับที่โอลิมปิกเคยประกาศออกมาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วซึ่งอนุญาตให้นักกีฬาหญิงชาวมุสลิมสามารถสวมใส่ฮิญาบได้ตลอดเวลาที่เก็บตัวอยู่ในหมู่บ้านนักกีฬา แต่แล้วฝรั่งเศส เจ้าภาพโอลิมปิกปีนี้กลับสั่งห้ามการใส่ฮิญาบในการแข่งขันเสียเอง ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการตั้งคำถามต่อมาว่า การสั่งห้ามสวมฮิญาบนั้นจะเป็นการละเมิดข้อกำหนดของโอลิมปิกเองด้วยหรือเปล่า&nbsp;โดยในคำแถลงการณ์ของกลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องต่อคณะกรรมการโอลิมปิกได้กล่าวว่า การสั่งห้ามนักกีฬาสวมฮิญาบเข้าแข่งขันนับเป็นการเลือกปฏิบัติทั้งทางเพศและศาสนาอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังเป็นการทำให้ผู้หญิงชาวมุสลิมไร้ตัวตน กีดกัน ลดทอนความเป็นมนุษย์ และอาจยังเป็นการสร้างบาดแผล ไปจนถึงความแตกแยกในสังคมให้เลวร้ายขึ้นไปอีกเช่นเดียวกับที่ มินกี้ วอร์เดน (Minky Worden) ผู้อำนวยการเครือข่าย Global Initiatives องค์กร Human Rights Watch ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง The Independent ว่า การสั่งแบนไม่ให้นักกีฬาหญิงสวมฮิญาบเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาหลายประเภท เป็นการตัดโอกาสคนที่มีความสามารถได้เล่นกีฬาที่พวกเขารัก เพียงเพราะว่าคนเหล่านี้มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา&nbsp;“ผู้หญิงเหล่านี้ถูกกีดกันออกจากการแข่งขันในประเทศของพวกเธอเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีนโยบายอะไรที่จะมาเยียวยาพวกเธอได้เลย” มินกี้ วอร์เดน กล่าว&nbsp;ซึ่งล่าสุด การสั่งแบนฮิญาบได้ส่งผลให้นักกีฬาหญิงหลายคนตัดสินใจถอนตัวออกจากการแข่งขันไปเป็นที่เรียบร้อยไม่เพียงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ รวมถึงตัวนักกีฬาเองเท่านั้น การสั่งแบนฮิญาบยังเป็นการลดความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ในการแข่งขันโอลิมปิกเอง เมื่อกฎข้อนี้อาจละเมิดข้อกำหนดของโอลิมปิกที่เคยบอกไว้ว่า ‘Sport is a human right’ หรือความตั้งใจที่จะทำให้ ‘กีฬา’ เป็นความเท่าเทียมที่ทุกคนควรมีสิทธิเข้าถึงอีกด้วยเช่นเดียวกับ บิลกิส อับดุล-ควอดี (Bilqis Abdul-Qaadir) อดีตนักกีฬาบาสเกตบอลหญิง หัวหอกในสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ (FIBA) ที่ออกมาแสดงความผิดหวังต่อประเด็นการแบนฮิญาบของโอลิมปิกในครั้งนี้ว่า เรื่องนี้กำลังทำเธอร้องไห้และเต็มไปด้วยคำถามว่า เพราะเหตุใดเราถึงยังไม่ก้าวข้ามเรื่องนี้ และยังต้องมาเถียงกันเรื่องนี้อีกไม่จบสิ้น&nbsp;“ทำไมฉันถึงต้องมานั่งอธิบายว่าฉันเป็นผู้หญิงมุสลิม แต่ฉันเล่นบาสฯ เก่งนะ” อับดุล-ควอดี กล่าวการเรียกร้องขององค์กรสิทธิมนุษยชนที่กำลังเดือดพล่านนี้ ดูเหมือนจะสวนทางกับคณะรัฐบาลฝรั่งเศสอย่าง เอมิเลีย อูเดีย-คาสเตรา (Amelie Oudea-Castera) รัฐมนตรีกระทรวงกีฬาและอดีตนักกีฬาเทนนิสของฝรั่งเศส ซึ่งให้ความเห็นว่านี่คือการตัดสินใจที่เป็นกลางที่สุดแล้ว และความเห็นก็เป็นเอกฉันท์ว่าทีมนักกีฬาฝรั่งเศสทั้งหมดจะไม่มีการสวมผ้าคลุมศีรษะใดๆ ในการแข่งขัน เธอมองว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนเหล่านั้น ‘ควรแยกแยะ’ ระหว่างกฎระเบียบของประเทศ กับความเชื่อทางศาสนาหรือชาติด้วยเหมือนกันก่อนหน้านี้ ผ้าคลุมศีรษะอย่างฮิญาบ รวมถึงสัญลักษณ์ใดๆ ที่เป็นการบ่งบอกอัตลักษณ์ทางศาสนานั้นถูกสั่งห้ามสวมใส่ในโรงเรียนรัฐฯ ของฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปี 2004 และในปี 2022 รัฐสภาฝรั่งเศสยังได้ทำการลงมติให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาใดๆ ก็ตามห้ามสวมใส่ฮิญาบด้วย ทั้งที่อันที่จริงแล้ว ฝรั่งเศสนับเป็นประเทศที่มีประชากรชาวมุสลิมมากเป็นอันดับหนึ่งในยุโรป&nbsp;น่าสนใจว่าทั้งสองจุดยืนระหว่างรัฐบาลฝรั่งเศสที่ออกมาประกาศกร้าวเช่นนี้ กับการออกมาเคลื่อนไหวขององค์กรสิทธิมนุษยชน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึง รวมถึงพาราลิมปิกที่จะจัดตามมาด้วย เพื่อที่นักกีฬาหญิงจะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับการให้เกิยรติ การปกป้องคุ้มครอง และมีสิทธิแสดงศักยภาพด้านกีฬาของตัวเองอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับนักกีฬาชาติอื่นๆ โดยก้าวข้ามเรื่องอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติและความเชื่อทางศาสนาไปได้&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.independent.co.uk/news/world/hijab-ban-paris-olympics-france-ioc-laicite-b2560750.html" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.independent.co.uk/news/world/hijab-ban-paris-olympics-france-ioc-laicite-b2560750.html</a><a href="https://www.bbc.com/sport/articles/c2xx4dl44v5o" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bbc.com/sport/articles/c2xx4dl44v5o</a>

ด้วยสังคมชายเป็นใหญ่ที่ชัดเจนและพลังแรงในเกาหลีใต้ ทำให้ผู้หญิงสาวหลายคนในประเทศพากันใช้ชีวิตตามวิถี 4 No หรือ 4B Movement ที่เป็นการหันหลังให้กับบทบาทของเพศหญิงตามแบบที่สังคมกำหนด ซึ่งก็ได้แก่ ‘biyeonae’ (ไม่ออกเดต) ‘bisekseu’ (ไม่มีเซ็กซ์) ‘bihon’ (ไม่แต่งงาน) และ ‘bichulsan’ (ไม่มีลูก) แต่ล่าสุดนี้ ดูเหมือนสาวอเมริกันก็เริ่มจะหันเข้าสู่วิถี 4B กันบ้างแล้ว หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณของการก้าวถอยหลังเรื่องสิทธิสตรีไปโดยปริยาย


ผู้หญิงอเมริกันเริ่มคิดเรื่อง 4 No ตามแบบสาวเกาหลีใต้ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง  ไม่ออกเดต / ไม่มีเซ็กซ์ / ไม่แต่งงาน / ไม่มีลูก


Samantha Kerr และ Kristie Mewis คือคู่รักนักฟุตบอลหญิงที่ตัดสินใจมีลูกด้วยกัน โดยที่ Mewis จะเป็นฝ่ายอุ้มท้อง แต่ท่ามกลางเรื่องน่ายินดีของทั้งคู่ กลับมีคอมเมนต์บางส่วนที่โจมตีเรื่องเพศสภาพของพวกเธอ

Sam Kerr และ Kristie Mewis เมื่อการตั้งครรภ์ของคู่รักหญิง-หญิง ยังต้องเผชิญทัศนคติเหยียดเพศจากแฟนบอล

Gracie Abrams คือลูกสาวแท้ๆ ของ J. J. Abrams ผู้กำกับชื่อดังแห่งฮอลลีวูด เพลงของเธอมักพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกแห่งวัยสาว แต่อีกด้านหนึ่ง เธอพร้อมที่จะแสดงจุดยืนทางการเมืองและเชื่อในการต่อสู้ของผู้หญิง 100%

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS