ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Festival de Cannes) ครั้งที่ 77 ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่เรียกความสนใจไม่น้อยไปกว่าภาพยนตร์ก็คือการที่บรรดานักแสดงและคนดังต่างใช้เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมทั้งบนพรมแดงและนอกพรมแดง ประกาศจุดยืนต่อประเด็นทางสังคมต่างๆ อย่างดุเดือด

Michael & Hushi แบรนด์หัวก้าวหน้าจากนิวยอร์ก ผู้อยู่เบื้องหลังเดรสวินเทจของ Bella Hadid ที่คานส์ กับความพยายามส่งเมสเสจต่อต้านสงครามและความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์

ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Festival de Cannes) ครั้งที่ 77 ปีนี้ สิ่งหนึ่งที่เรียกความสนใจไม่น้อยไปกว่าภาพยนตร์ก็คือการที่บรรดานักแสดงและคนดังต่างใช้เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมทั้งบนพรมแดงและนอกพรมแดง ประกาศจุดยืนต่อประเด็นทางสังคมต่างๆ อย่างดุเดือดไม่ได้มีแค่นักแสดงตัวแม่อย่าง เคท บลันเชตต์ (Cate Blanchett) เท่านั้นที่เลือกสวมชุดเดรสเรียบๆ ธรรมดา แต่แอบซ่อนนัยที่แสดงถึงสีของธงชาติปาเลสสไตน์เอาไว้อย่างเเนบเนียนจนใครๆ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งสเตตเมนต์จากคนดังที่พร้อมใจกันประกาศกร้าวว่า พวกเขากำลังสนับสนุนและต่อต้านความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์อยู่อีกหนึ่งคนดังที่เรียกเสียงฮือฮาไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ เบลลา ฮาดิด (Bella Hadid) เมื่อเธอสวมชุดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผ้าคัฟฟิเยห์ (Keffiyeh : หรือในบางพื้นที่เรียกผ้าชีมัค (Shemagh) ผ้าโพกศีรษะที่ชาวอาหรับใช้โพกเวลาเดินทางในทะเลทรายเพื่อกันความร้อนในเวลากลางวัน และให้ความอบอุ่นจากความหนาวเย็นตอนกลางคืน) ยืนกินไอศกรีมท้าแดดสวยๆ ระหว่างร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีนี้ด้วย&nbsp;ด้วยความที่นางแบบสาวมีเชื้อสายปาเลสสไตน์จากพ่อของเธออยู่แล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าชุดสลิปเดรสสไตล์วินเทจที่ตัดเย็บด้วยผ้าคัฟฟิเยห์เลียนแบบผ้าลายตารางสีแดง-ขาวแบบวัฒนธรรมอาหรับดั้งเดิมนี้ กำลังตะโกนบอกอยู่ในตัวมันเองว่าเธอสนับสนุนปาเลสไตน์พร้อมต่อต้านการเข่นฆ่าที่กำลังเกิดขึ้น และ ‘Micheal &amp; Hushi’ ก็คือแบรนด์หัวก้าวหน้าจากนิวยอร์ก ผู้อยู่เบื้องหลังชุดที่เรียกเสียงฮือฮาของ เบลลา ฮาดิด ชุดนี้ ก่อตั้งโดย ไมเคิล เซียซ์ (Micheal Sears) และ ฮูซิดา มอรเตไซ (Hushidar Mortezai) ดีไซเนอร์ผู้ซึ่งก็เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิหร่านด้วยเช่นกันจริงๆ แล้วชุดเดรสวินเทจลายตารางตัวนี้ไม่ได้คิดขึ้นมาใหม่สำหรับให้ เบลลา ฮาดิด ใส่ในงานนี้ แต่มันเคยเป็นชุดที่อยู่ในคอลเลกชัน AW01 ซึ่งเป็นคอลเลกชันแรกๆ ของเเบรนด์ Michael &amp; Hushi ที่ใช้งบในการทำน้อยนิด เพราะพวกเขาเป็นเพียงดีไซเนอร์หน้าใหม่ที่ไม่ได้มีทุนมากนัก แต่กลับเป็นคอลเลกชันที่สร้างชื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในแวดวงแฟชั่นฝั่งนิวยอร์กเมื่อปี 2001 อย่างมาก&nbsp;<img src="https://media.thairath.co.th/image/a8exUinl6VEGVSWf0mp1V2Twp1V2x9xHCJDsZ4nzxsxCoQfsYe9vA1.jpg" data-id="101619" data-url="https://media.thairath.co.th/image/a8exUinl6VEGVSWf0mp1V2Twp1V2x9xHCJDsZ4nzxsxCoQfsYe9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">มันเริ่มต้นจากการที่สองดีไซเนอร์หลงใหลในเสน่ห์ของผ้าโพกศีรษะ / ผ้าพันคอลายตารางรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสของชาวอาหรับ และอยากใช้มันเพื่อตั้งคำถามถึง ‘ภาพจำ’ ของคนทั่วไป โดยเฉพาะโลกตะวันตกที่มีต่อ ‘ผู้หญิง’ ชาวตะวันออกกลาง ซึ่งมักจะถูกสเตอริโอไทป์ ถูกทำให้เป็นสินค้า เป็นวัตถุ จนถึงถูกทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดกลัวอิสลาม และเสื้อผ้าที่ได้แรงบันดาลใจมาจากผ้าลายตารางของชาวอาหรับ ก็อยากทำหน้าที่เป็นเหมือนจดหมายรักถึงผู้หญิงตะวันออกกลางผู้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่ง&nbsp;แต่การส่งต่อเมสเสจเหล่านี้ของ Michael &amp; Hushi ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากลองนึกย้อนกลับไปต้นยุค 2000s ที่ยังไม่มีแม้แต่โซเชียลมีเดีย อีกทั้งยังไม่เคยมีแบรนด์ไหนกล้าลุกขึ้นมาบอกเล่าวัฒนธรรมฝั่งตะวันออกผ่านภาษาสากลอย่าง ‘แฟชั่น’ ให้โลกได้รับรู้เลยเช่นกันฮูชิดา เล่าว่า เขาเป็นหนึ่งคนที่อพยพจากอิหร่านมาอยู่สหรัฐฯ ตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกับคนอื่นๆ จนกระทั่งมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดอีกครั้งตอนอายุ 28 และนั่นทำให้เขาเห็นความแข็งแกร่งของผู้หญิงอิหร่าน ที่ใช้แฟชั่นเป็นเสมือนสเตตเมนต์ของการแสดงอารยะขัดขืน การแสดงความไม่ยอมจำนนต่อระบบของสังคมที่ครอบพวกเธอมาโดยตลอด &nbsp;“ผมพบเด็กผู้หญิงและผู้หญิงหลายคนที่ใช้ฮิญาบต่อสู้กับตำรวจจริยธรรม (Morality Police) ในอิหร่าน เพื่อยืนกรานความมีอิสระในเนื้อตัวร่างกาย (Bodily Autonomy) ของพวกเธอ ผมได้เห็นผู้อพยพชาวอัฟกัน ได้เห็นความเเข็งแกร่งของผู้หญิงชาวเคิร์ต” ฮูชิดา เล่า&nbsp;การได้เห็นชีวิตของผู้คนพลัดถิ่นทำให้ดีไซเนอร์หนุ่มรู้สึกเหมือนได้ตื่นรู้อีกครั้ง เขากลับไปนิวยอร์กและเริ่มต้นทำแบรนด์ร่วมกับ ไมเคิล เซียซ์ (Micheal Sears) พร้อมกับเปิดร้านเล็กๆ แถวย่าน East Village ในปี 1997 เรียนรู้แทบจะทุกกระบวนการ ตั้งแต่เลือกวัสดุจนถึงงานออกแบบด้วยตัวเอง ดีไซเนอร์ทั้งสองคนพบว่างานออกแบบของพวกเขาคือวัฒนธรรมที่โคจรมาเจอกันระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกกับตะวันออกแบบ ‘West meets east’ ที่ทั้งเป็นเหมือนงานศิลปะคอนเซปชวล ทั้งป๊อป ทั้งต่อสู้กับนอร์มของสังคม และยังเป็นการกลับไปเคารพต่อรากเหง้าความเป็นอาหรับของตัวเอง&nbsp;แต่แล้วเรื่องร้ายก็เกิดขึ้น หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ที่ไม่เพียงช็อกคนทั้งโลก ยังส่งผลกระทบทำให้แบรนด์ Micheal &amp; Hushi และร้านเล็กๆ ของพวกเขาต้องปิดตัวลงตามไปด้วย เพราะหลังจากความรุนแรงของเหตุการณ์วันนั้น พวกเขาต้องยอมรับว่าสายตาของสังคมตะวันตกที่มองชาวอาหรับและวัฒนธรรมตะวันออกนั้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้วตลอดกาล&nbsp;“ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอคติของสังคมที่มีต่อเราหรืออะไร แต่ในตอนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนผมกำลังลากเพื่อน (ไมเคิล เซียซ์) มาลำบากด้วย เพียงเพราะรากเหง้าของตัวผมเอง” ฮูชิดา กล่าว&nbsp;ชุดวินเทจผ้าคัฟฟิเยห์ของ เบลลา ฮาดิด ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนการกลับมาเพื่อทั้งเรียกคืนเมสเสจเดิมของแบรนด์ เพื่อตะโกนบอกให้โลกไม่ลืมว่ายังมีผู้คนอีกมากที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางความเกลียดชัง อคติ และความรุนแรงของสงครามการสู้รบในเวลานี้&nbsp;เมื่อถูกตั้งคำถามว่า แล้วทำไมการส่งเมสเสจเรื่องวัฒนธรรมตะวันออกผ่านแฟชั่นถึงยังสำคัญสำหรับ Michael &amp; Hushi ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วมันอาจย้อนกลับมาเป็น ‘อันตราย’ ต่อธุรกิจเล็กๆ อย่างพวกเขาได้ตลอดเวลา ฮูชิดา ตอบว่า ก็เพราะว่ามันไม่ใช่เพียงเป็นการแสดงจุดยืนทางการเมือง แต่มันคือจดหมายรักถึงบ้านเกิด จดหมายรักถึงใครก็ตามที่ถูกบังคับให้พลัดถิ่นฐาน และเป็นตัวแทนของอิสรภาพ มันจึงสำคัญ&nbsp;“ในช่วงเวลาแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการกดขี่ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เบลลาหาญกล้ามากที่จะแสดงออกถึงตัวตนและรากเหง้าของเธอ สิ่งที่เธอทำคือการปลุกให้สื่อลุกขึ้นมาสนใจ ส่งต่อเมสเสจและเสียงของเธอออกไปถึงคนในเจเนอเรชันนี้ มันน่าทึ่งมาก เพราะนี่คือเมสเสจของความรัก การดิ้นรนเอาชีวิตรอด ความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นเมสเสจเดียวกันกับชุดเดรสวินเทจตัวนี้ของเราครับ” ฮูชิดา กล่าว&nbsp;อ้างอิง<a href="https://www.dazeddigital.com/fashion/article/62708/1/michael-hushi-y2k-911-new-york-brand-bella-hadid-ikeffiyeh-palestine-gaza" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dazeddigital.com/fashion/article/62708/1/michael-hushi-y2k-911-new-york-brand-bella-hadid-ikeffiyeh-palestine-gaza</a><a href="https://www.lungohonline.com/th/webboard/13/post/76" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.lungohonline.com/th/webboard/13/post/76</a><a href="https://diva.sfsu.edu/collections/cids/bundles/239017" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://diva.sfsu.edu/collections/cids/bundles/239017</a>

ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ไหนจะค่าครองชีพ ไหนจะข้าวของที่เเพงขึ้นซึ่งก็ว่าน่ากลัวแล้ว ก็อาจยังไม่น่ากลัวเท่าการที่เรายังถูกเย้ายวนด้วยสิ่งเร้าต่างๆ จากกระแสรอบตัวจนส่งผลให้ใช้ชีวิต ‘ติดแกลม’ ไปกับการบริโภคสิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว แล้วตามมาด้วยวงจรการใช้เงินเกินตัว ใช้เงินเดือนชนเดือน เป็นหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และอีกสารพัดหายนะทางการเงินที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น

#No-buy2025 เทรนด์ที่สาวๆ ในโซเชียลฯ พร้อมใจกันบอกว่าจะ ‘ลด ละ เลิก’ การช้อปปิ้งให้ได้ในปีนี้

Ally Louks ดอกเตอร์ผู้ทำธีสิสเรื่อง ‘กลิ่น’ แต่กลับถูกชาวเน็ตชายถล่ม ว่าไม่เหมาะกับโลกวิชาการ ทั้งยังถูกไล่ให้ไปแต่งงานมีลูก

แม้การฝากไข่จะดูเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมมีลูกในตอนนี้ แต่ปัจจัยที่ทำให้หลายคนต้องหยุดชะงักคือราคาที่สูงจนไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงได้ Cofertility จึงเป็นบริษัทสตาร์ทอัปที่ตั้งใจจะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS