ผู้นำสูงสุดของตาลีบันก็ได้ประกาศว่า จะกลับมาบังคับใช้โทษ ‘ปาหิน’ หรือ ‘เฆี่ยนตี’ ผู้หญิงในที่สาธารณะจนตาย หากจับได้ว่าพวกเธอ ‘คบชู้’ ซึ่งเป็นโทษที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง

“ผู้หญิงต้องการ ‘สิทธิ’ ที่พวกชาวตะวันตกพูดถึงกันจริงหรือ?” ผู้นำสูงสุดของตาลีบันกล่าว หลังประกาศใช้โทษ ‘ปาหิน’ และ ‘เฆี่ยนตี’ ผู้หญิงที่คบชู้จนตายในที่สาธารณะ

เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าสำหรับหลายคนในประเทศอัฟกานิสถาน นับตั้งแต่ที่กลุ่มตาลีบันเข้ายึดครอง และมีอำนาจในประเทศ โดยเฉพาะกับประชากรหญิง ที่นอกจากจะถูกลิดรอนสิทธิในการเข้าถึงการศึกษา (ผู้หญิงเข้าโรงเรียนได้ถึงอายุ 12 ปีเท่านั้น) ยังมีกฎสั่งห้ามผู้หญิงทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ ห้ามทำงานในองค์การสหประชาชาติ ห้ามทำร้านเสริมสวย ห้ามเข้าสวนสาธารณะ ยิม และห้องอาบน้ำสาธารณะ ฯลฯ&nbsp;ล่าสุดนี้ ผู้นำสูงสุดของตาลีบันก็ได้ประกาศว่า จะกลับมาบังคับใช้โทษ ‘ปาหิน’ หรือ ‘เฆี่ยนตี’ ผู้หญิงในที่สาธารณะจนตาย หากจับได้ว่าพวกเธอ ‘คบชู้’ ซึ่งเป็นโทษที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง<img src="https://media.thairath.co.th/image/3Ns1a2hbvqw4HgvUniObgYoNFNeP3pUkC550jBfNyHlRNPwe9vA1.jpg" data-id="101516" data-url="https://media.thairath.co.th/image/3Ns1a2hbvqw4HgvUniObgYoNFNeP3pUkC550jBfNyHlRNPwe9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">การลงโทษที่รุนแรงนี้เป็นไปตามกฎหมายชารีอะห์ของศาสนาอิสลาม ซึ่งหลังจากที่ตาลีบันยึดครองอัฟกานิสถานสำเร็จ ก็เดินหน้านำกฎหมายนี้กลับมาใช้อีกครั้ง โดยไฮบาตุลเลาะห์ อัคฮุนด์ซาดา (Hibatullah Akhundzada) ผู้นำสูงสุดของตาลีบัน ได้กล่าวถึงการบังคับใช้บทลงโทษแบบชารีอะห์ ซึ่งรวมถึงการปาหินผู้หญิงที่คบชู้จนตายว่า&nbsp;“คุณอาจจะบอกว่า มันเป็นการละเมิดสิทธิสตรีเมื่อเราปาหินผู้หญิงที่คบชู้จนตาย นั่นเพราะมันขัดต่อหลักประชาธิปไตยที่พวกคุณยึดถือ ก็อย่างที่คุณอ้างว่าต่อสู้เพื่อเสรีภาพของมนุษยชาติ ผมก็เหมือนกัน ผมเป็นตัวแทนของอัลเลาะห์ ขณะที่พวกคุณเป็นตัวแทนของซาตาน”&nbsp;แม้ตาลีบันจะเคยลั่นวาจาไว้ครั้งหนึ่งหลังยึดกรุงคาบูลว่า จะเคารพสิทธิสตรี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาไม่ได้มีคำว่าสิทธิสตรีอยู่ในพจนานุกรมอีกต่อไป ผู้นำตาลีบันยังระบุอีกว่า “ผู้หญิงต้องการสิทธิที่พวกชาวตะวันตกพูดถึงกันจริงหรือ? สิทธิพวกนั้นมันขัดต่อกฎหมายชารีอะห์ ขัดต่อความคิดเห็นของผู้นำทางศาสนาที่ล้วนแต่อยู่เหนือหลักประชาธิปไตยแบบตะวันตก” &nbsp;หากอ้างอิงจากรายงานสถานการณ์ในปีที่ผ่านมา พบว่าเพียงปีเดียว ผู้พิพากษาที่ถูกแต่งตั้งโดยกลุ่มตาลีบันได้เฆี่ยนตี และประหารชีวิตผู้กระทำความผิดในที่สาธารณะถึง 417 ครั้ง และเป็นผู้หญิงไปแล้ว 57 คน โดยความผิดดังกล่าวมีทั้งการชิงทรัพย์ ปล้น และก่ออาชญากรรมทางศีลธรรมต่างๆ และตามรายงานของสหประชาชาติในเดือนพฤษภาคม 2023 พบว่า มีประชาชน 175 คนถูกตัดสินให้รับโทษต่างๆ และ 37 คนถูกปาหิน ซึ่งมากกว่า 100 คน ถูกตัดสินด้วยข้อหาการก่ออาชญากรรมต่อพระเจ้า ซึ่งหลังจากนี้การที่ผู้หญิงคบชู้ก็จะถูกลงโทษในลักษณะนี้เช่นกัน ขณะที่ไม่ปรากฏว่า หากผู้ชายเป็นฝ่ายคบชู้จะถูกลงโทษอย่างไร หรือกระทั่งจะถูกนับว่ามีโทษไหมด้วยซ้ำที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ แม้นานาประเทศจะระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการลงโทษเหล่านี้ แต่กลับแทบไม่สามารถทำอะไรได้เลย อย่างที่ซาเฟีย อาเรฟี (Safia Arefi) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในอัฟกานิสถานกล่าวว่า “ตอนนี้ ไม่มีใครยืนหยัดเคียงข้างประชาชนชาวอัฟกัน เพื่อปกป้องพวกเขาจากการลงโทษของตาลีบัน นานาประเทศต่างก็ยังคงเงียบงันต่อความรุนแรงและการละเมิดสิทธิสตรีที่เกิดขึ้น จากประกาศล่าสุดของผู้นำตาลีบัน การลงโทษบทใหม่กำลังจะเกิดขึ้น และผู้หญิงอัฟกันกำลังเผชิญความโดดเดี่ยวที่ล้ำลึกทีเดียว” …อ้างอิง:<a href="https://www.foxnews.com/world/taliban-vows-publicly-stone-women-death-direct-message-western-democracies" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.foxnews.com/world/taliban-vows-publicly-stone-women-death-direct-message-western-democracies</a><a href="https://www.theguardian.com/global-development/2024/mar/28/taliban-edict-to-resume-stoning-women-to-death-met-with-horror" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.theguardian.com/global-development/2024/mar/28/taliban-edict-to-resume-stoning-women-to-death-met-with-horror</a><a href="https://www.voanews.com/a/taliban-chief-defends-islamic-criminal-justice-system-including-stoning-women-for-adultery-/7540581.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.voanews.com/a/taliban-chief-defends-islamic-criminal-justice-system-including-stoning-women-for-adultery-/7540581.html</a>

ในต่างประเทศเองการล่วงละเมิดและการคุกคามทางเพศในแวดวงศิลปะก็ไม่ใช่เรื่องใหม่และกำลังตื่นตัวไม่น้อยไปกว่าบ้านเรา อย่างกลุ่มที่มีชื่อว่า ‘The Guerrilla Girls’ กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ขอลุกขึ้นมาสวมชุดกอลิลลา ทำตัวบ้าหลุดโลก แต่ภายใต้ชุดนั้นคือการเป็นหูเป็นตาให้กับวงการศิลปะ กระตุ้นให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ศิลปิน คิวเรเตอร์ นักวิจารณ์ จนถึงมิวเซียม แกลเลอรี และบรรดานายทุน ตื่นรู้ต่อ ‘การมีอยู่ของผู้หญิง’ ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

The Guerrilla Girls กลุ่มนักเคลื่อนไหวในชุดกอริลลาที่พร้อมปั่นและรันความเท่าเทียมในวงการศิลปะมาตั้งแต่ยุค 80s

‘PANK’ หรือ ‘Professional Aunt, No Kids’ ผู้หญิงที่มีสถานะการเงินคล่องตัว ดูแลตัวเองได้ ไม่ได้มองว่าจุดสูงสุดของชีวิตคือการแต่งงานมีลูก เพียงแค่อยากเป็นคุณน้ามืออาชีพ คอยดูแลหลานๆ ที่เธอรัก

การเพิ่มขึ้นของ PANK : Professional Aunt, No Kids น้าสาวสุดคูล ดูแลตัวเองได้ สายเปย์ ชอบเลี้ยงหลาน แต่ไม่ได้อยากแต่งงานหรือมีลูก

ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง ในพื้นที่อย่างสถาบันการศึกษาซึ่งควรจะเปิดกว้างต่อการแสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีของคนรุ่นใหม่ ก็อาจกำลังเกิดประเด็นที่สร้างความขัดแย้งไม่น้อยไปกว่ากัน เมื่อแถลงการณ์ล่าสุดจากมหาวิทยาลัย USC ในแคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) ประกาศยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษาประจำปีนี้ เนื่องจากตัวแทนนักศึกษาปริญญาตรีผู้กล่าวสุนทรพจน์ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่าย ‘สนับสนุนปาเลสไตน์’ (Pro-Palestinian)

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS