จากตัวเลขสถิติการข่มขืนทั้งหมด 520,000 ครั้งใน 14 รัฐ นำไปสู่การตั้งครรภ์กว่า 64,565 ครั้ง และ 91% ของจำนวนนี้ เกิดขึ้นในรัฐที่ไม่มีข้อยกเว้นให้ทำแท้งได้แม้จะตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน

ผู้หญิงกว่า 64,000 คนตั้งครรภ์จากการ ‘ถูกข่มขืน’ ภายใน 14 รัฐของอเมริกาที่แบนการทำแท้ง และกว่า 91% ไม่สามารถเข้าถึงการทำแท้งที่ถูกกฎหมาย

64,000 คน คือจำนวนของผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เนื่องจาก ‘ถูกข่มขืน’ ใน 14 รัฐ ของสหรัฐอเมริกา ที่มีกฎหมายแบนการทำแท้ง และ 91% ของจำนวนนี้ เกิดขึ้นในรัฐที่ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับกรณีข่มขืน นั่นหมายถึงพวกเธอเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายได้ แม้จะตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืนก็ตาม.ตัวเลขที่น่าตกใจนี้ มาจากการประมาณการของศูนย์วางแผนครอบครัวแห่งมอนทานา (Planned Parenthood of Montana) ที่ได้ทำวิจัยและเผยแพร่ผ่าน JAMA Internal Medicine เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการระบุว่า จากตัวเลขสถิติการข่มขืนทั้งหมด 520,000 ครั้งใน 14 รัฐ นำไปสู่การตั้งครรภ์กว่า 64,565 ครั้ง ซึ่งทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ตัวเลขโดยใช้ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention) และสำนักสถิติกระบวนการยุติธรรม (Bureau of Justice Statistics) รวมถึง FBI ในการประมาณการครั้งนี้.14 รัฐที่แบนการทำแท้งหลังจากมีการคว่ำกฎหมายรับรองการทำแท้งถูกกฎหมายอย่าง Roe V. Wade ประกอบไปด้วยแอละแบมา, อาร์คันซอ, ไอดาโฮ, อินเดียนา, เคนทักกี, ลุยเซียนา, มิสซิสซิปปี, มิสซูรี, นอร์ธ ดาโกตา, เซาธ์ ดาโกตา, โอกลาโฮมา, เทนเนสซี, เท็กซัส และ เวสต์ เวอร์จิเนีย ซึ่งตัวแทนจากศูนย์วางแผนครอบครัวมอนทานาระบุว่าหลายรัฐในนี้กำหนดให้การทำแท้งมีความผิดทางกฎหมาย และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับกรณีที่ถูกข่มขืน&nbsp;.หรือกระทั่งบางรัฐที่มีข้อยกเว้นให้กรณีข่มขืน แต่โดยกระบวนการแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก เช่นต้องมีการแจ้งความและพิสูจน์ทราบให้แล้วเสร็จว่ามีการข่มขืนเกิดขึ้นจริง ซึ่งหลายครั้งเวลาก็ล่วงเลยจนอายุครรภ์มากเกินกว่าจะทำแท้งปลอดภัยได้ ส่งผลให้ผู้ตั้งครรภ์จากการข่มขืนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการทำแท้งที่ถูกกฎหมายได้ในทางปฏิบัติ.ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงสิทธิมนุษยชนที่ถอยหลังในหลายๆ รัฐอนุรักษนิยม ที่ซึ่งผู้คนไม่สามารถมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายตัวเองได้ แต่หนึ่งในผู้วิจัยอย่างด็อกเตอร์คารี ไวท์ (Dr.Kari White) มองว่าเรื่องนี้ “สะท้อนว่าการข่มขืนเป็นเรื่องปกติแค่ไหนในสหรัฐอเมริกา”&nbsp;.ไม่เพียงเท่านั้นด็อกเตอร์ไวท์ยังมองว่า การที่รัฐเหล่านี้แบนการทำแท้ง “เป็นการแทรกแซงความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ ที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ”.นับจากเดือนมิถุนายนปี 2022 ที่มีการคว่ำกฎหมาย Roe V. Wade ในสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศจนถึงปัจจุบัน ผู้ตั้งครรภ์จำนวนมากต้องเดินทางไปทำแท้งในต่างรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แม้ว่าภาคเอกชนจำนวนหนึ่งจะพยายามสนับสนุนด้วยการออกสวัสดิการในการเดินทางข้ามรัฐไปทำแท้งให้กับคนทำงาน แต่ตราบใดที่ยังมีรัฐซึ่งแบนการทำแท้งอยู่ ก็หมายถึงสหรัฐอเมริกาไม่สามารถก้าวหน้าไปด้วยกันทั้งประเทศได้ นี่จึงเป็นอีกโจทย์สำคัญสำหรับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งเขาเองเคยได้กล่าวไว้หลายครั้งว่าหากสภาคองเกรสจะมีการพิจารณากฎหมายทำแท้งใหม่ เขาก็พร้อมที่จะเข้าร่วมในการอนุมัติทันที อ้างอิง: https://www.nbcnews.com/politics/politics-news/64k-women-girls-became-pregnant-due-rape-states-abortion-bans-study-es-rcna135565&nbsp; https://www.independent.co.uk/news/world/americas/rape-survivors-pregnant-abortion-ban-b2484597.html&nbsp; https://jamanetwork.com/journals/jamainternalmedicine/article-abstract/2814274?resultClick=1&nbsp;

การคุกคามทางเพศในที่ทำงานยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกองค์กร อย่างเช่น กรณีหน่วยงานด้านสาธารณสุข ในอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีรายงานออกมาว่าเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติที่ทำงานด้านการดูแลผู้ป่วย ถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีใครกล้าปริปากพูด ด้วยความกลัวว่าจะเสียวีซ่าทำงาน และสุดท้ายจะทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบาก เพราะเป็นเพียงแรงงานชาวต่างชาติ

แรงงานต่างชาติในอังกฤษจำนวนมาก ถูกนายจ้างล่วงละเมิดทางเพศ แต่หลายคนกลับไม่สามารถร้องเรียน เพราะกลัวถูกเพิกถอนวีซ่า

ชาวออสเตรเลียหลายคนต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการป้องกัน และปรับเปลี่ยนกฎหมายให้แข็งแรงขึ้น เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ในออสเตรเลียมีผู้หญิงที่เสียชีวิตจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศเฉลี่ยอยู่ที่ 4 คนต่อวัน

ชาวออสเตรเลียหลายพันคนรวมตัวประท้วงให้ ‘ความรุนแรงต่อผู้หญิง’ เป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติหลังจากปีนี้ มีผู้หญิงถูกฆ่าในทุกๆ 4 วัน

‘โอรีนี ไคปารา’ (Oriini Kaipara) คือผู้ประกาศข่าวหญิงคนแรกในโลกที่มีรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าเมารีที่เรียกว่า ‘โมโก’ หรือ ‘Moko Kauae’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวเมารี

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS