สไมล์-ภาลฎา หรือ สไมล์ เดอะสตาร์ 8 ออกมาเล่าว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วเธอโดนทีมงาน ‘ผู้หญิง’ ที่ดูแลเธอ คิดเกินเลยในเรื่องชู้สาว แต่เมื่อไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง ทุกคนกลับหาว่าเธอเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’

ผู้หญิงก็อาจเป็นฝ่ายคุกคามผู้หญิงได้ จากกรณี สไมล์-ภาลฎา เจออดีตทีมงานหญิง คิดเกินเลย แต่กลับไม่มีใครเชื่อ

หลายครั้ง ผู้คนคุ้นชินกับภาพที่ผู้ชายเป็นฝ่ายคุกคามทางเพศผู้หญิง หรือมีพฤติกรรมที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่ปลอดภัย เนื่องจากตัวเลขสถิติ และข่าวที่ออกหน้าสื่ออยู่แทบทุกวัน ทำให้ในกรณีที่ผู้หญิงหรือเพศอื่นๆ เป็นผู้กระทำ ไม่ว่าจะ<a href="https://mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A8" rel="noopener noreferrer" target="_blank">คุกคามทางเพศ</a>หรือทำให้เพศอื่นรู้สึกไม่ปลอดภัยในทางเพศ คนมักจะไม่ค่อยเชื่อ เช่นในกรณีของ สไมล์-ภาลฎา หรือ สไมล์ เดอะสตาร์ 8 ที่ออกมาเล่าว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วเธอโดนทีมงาน <a href="https://mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87" rel="noopener noreferrer" target="_blank">‘ผู้หญิง’</a> ที่ดูแลเธอ คิดเกินเลยในเรื่องชู้สาว แม้จะไม่มีการระบุชี้ชัดว่ามีการคุกคามทางเพศหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เมื่อไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง ทุกคนกลับหาว่าเธอเป็น ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ สไมล์ เปิดใจทั้งน้ำตาในรายการ De - Talk EP.17 l สไมล์ ภาลฎา l แผลในใจ ถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ บนช่องยูทูบ 3D Channel โดยมีตั้ม-วราวุธ และโดม-จารุวัฒน์ เป็นพิธีกร ซึ่ง 2 คนนี้ก็เป็นผู้ที่รับรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมาของสไมล์เช่นเดียวกัน เนื่องจากอยู่ในบ้านเดอะสตาร์เหมือนกัน “เรื่องพี่คนนั้น ที่เข้ามาในรูปแบบแม่คนหนึ่ง แต่ว่าเขาคิดเรื่องชู้สาวกับเรา แต่เราเรียกเขาว่าแม่” “ตอนนั้นหนูอยู่กรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่ที่บ้านหนูเขายังงงๆ กับเรื่องของวงการบันเทิง ทีนี้หนูก็เลยไปฝากใจให้กับพี่คนหนึ่งที่เขาดูแลเราเหมือนแม่ เหมือนลูก เราก็มองว่าเขาคือแม่ หนูเรียกเขาแม่เลย แต่ว่ามันก็มีวันหนึ่งที่พี่ (โดม) รู้ ที่หนูไปหาพี่โดม แล้วร้องไห้กับพี่โดม” “แต่ที่มันแย่คือ ผู้ใหญ่เขาบอกว่าเราเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ไม่มีใครเชื่อ เพราะพี่เขาดูเป็นคนดีมากเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น” เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตอนที่สไมล์เพิ่งจะอายุ 15 ปี และแม้จะผ่านมานานมากแล้ว และตัวสไมล์เองก็ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าสิ่งที่เธอเจอมีเหตุการณ์อะไรบ้าง แต่เมื่อคู่กรณีเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าคน และมีอำนาจมากกว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่อยู่ในแวดวงมานานมาแสดงออกว่าคิดเกินเลย สไมล์ก็ย่อมรู้สึกอึดอัด ไม่ปลอดภัย และถึงขั้นกลายเป็นทรอม่าที่ฝังใจเธอไปแล้ว และทุกวันนี้เวลาที่เจอคนคนนั้น เธอยังคงมีอาการตัวสั่นอยู่ ขณะที่ทีมงานคนนั้นยังทำงานได้อย่างปกติ ซึ่งตั้มก็ได้บอกว่า “ทุกวันนี้ คนคนนั้นเขาก็ยังอยู่ที่เดิม ยังเป็นคนที่มีเกียรติ มีอะไรอยู่ที่เดิม กลับตัวน้องเองที่ต้องแบกความรู้สึกที่ฉันต้องโดนคนอื่นตราหน้าว่าฉันเป็นเด็กเลี้ยงแกะ” โดม ก็บอกเช่นกันว่า “ถึงแม้จะมีคนมายันขนาดไหน ทุกคนจะพยายามช่วยขนาดไหน…ไม่มีผล” เรื่องนี้สะท้อนชัดถึงความแปลกประหลาดในสังคม ข้อแรก คือเรื่องที่ผู้ใหญ่ไม่เชื่อสไมล์เพราะ ผู้กระทำเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับผู้ใหญ่มานาน และทุกคนคิดว่าเป็น ‘คนดี’ สิ่งนี้ก็ชัดเจนว่า หลายคนยังตัดสินการกระทำของคนอื่นด้วย ‘ภาพลักษณ์’ ภายนอกอย่างเดียว และใช่ว่าเขาดีกับผู้ใหญ่ แล้วจะไม่กระทำอะไรไม่ดีต่อผู้อื่นอีกเลย ดังนั้น หากผู้กระทำมีภาพลักษณ์เป็นคนดี สังคมก็จะมีแนวโน้ม ‘ไม่เชื่อ’ เหยื่อมากขึ้น ทำให้เสียงของเหยื่อเบาลง ยิ่งในกรณีที่ไม่มีหลักฐานเป็นภาพหรือวิดีโอแน่ชัด ก็ทำให้เหยื่อหลายคนเลือกที่จะไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวคนจะไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองพูด เหมือนที่ตั้มบอกว่า “เพราะว่าเขาเจอเราแป๊บเดียว เขาเจอคนนั้นมานานแล้ว แล้วเขาก็คิดว่าคนนั้นดีที่สุดในสายตาของเขา” แม้กระทั่งที่สไมล์เล่าว่า “เขาขอโทษต่อหน้าผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ก็บอกว่า พี่จะรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่โกหกอีกซ้อนหนึ่งเพื่อให้น้องคนนี้ (สไมล์) รอดความผิด” จะเห็นว่า ถึงผู้กระทำจะออกมาขอโทษ แต่ถ้าสังคมปักใจว่าจะไม่เชื่อแล้ว ก็จะมีไบแอสต่อผู้กระทำอยู่ดีว่า เขาคงเป็นคนดีที่รับผิดแทน ซึ่งถือเป็นความบิดเบี้ยวในสังคมที่อันตราย เพราะสุดท้าย การที่เราจะสามารถปกป้องเหยื่อได้ในขั้นแรกไม่ว่าเรื่องนั้นจะจริง หรือเท็จ คือต้องเชื่อเหยื่อก่อน แล้วค่อยพิสูจน์ความจริงกันในชั้นกฎหมายต่อ แต่ถ้าไม่เกิดการเชื่อเหยื่อตั้งแต่แรก เหยื่อตัวจริงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย ถัดมา คือเรื่องความรู้สึกไม่ปลอดภัยทางเพศที่เกิดจากผู้หญิงด้วยกันอย่างที่เราเล่าไปข้างต้น ในหลายเคสมันอาจส่งต่อปัญหาไปถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็ก ที่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้กระทำสามารถกระทำซ้ำได้เรื่อยๆ เพราะยังไงก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดเด็ก และกลายเป็นผู้มีอำนาจในการทำร้ายเด็กคนหนึ่งได้เต็มที่ เวลาเห็นเหยื่อที่เพิ่งออกมาพูดเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เราจึงไม่ควรกล่าวโทษเหยื่อ เพราะปัจจัยหลายอย่างในสังคมไม่เอื้อให้พวกเขาสามารถพูดได้ หรือกล้าพูดออกไป ณ เวลานั้น บวกกับความเป็นผู้หญิงด้วยกันที่หลายครั้ง คนก็ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาเท่าที่ควร เพราะยังติดภาพความรุนแรงที่เกิดจากเพศตรงข้ามมากกว่า ขณะที่ผลสำรวจหนึ่งของ Cosmopolitan ระบุว่า จากผลสำรวจผู้หญิงอายุ 18-34 ปี จำนวน 2,235 คน พบว่า 10% ถูกคุกคามโดยผู้หญิงด้วยกัน และแน่นอนว่าจากกรณีสไมล์ ทำให้เห็นว่าคงยังมีอีกหลายเคสที่อาจจะมากกว่า 10% ที่ไม่ถูกรายงานในเชิงสถิติ เพราะติดปัญหากลัวพูดไปแล้วคนจะไม่เชื่อ หลายคนอาจคิดว่า เขาอาจจะแค่หยอกๆ หรือมองว่าคิดมากไปเอง เพราะพอเป็นเรื่องของคนเพศเดียวกัน ความรุนแรงก็อาจถูกลดทอนลงไป ผลของการที่ผู้คนคิดว่าการว่าการคุกคามทางเพศเป็นปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นระหว่างชายและหญิง ทำให้การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไม่ถูกแก้ไขมันจากต้นตอ และเมื่อผู้หญิงถูกคุกคามทางเพศโดยผู้หญิงเพิ่มสูงขึ้น พวกเธอจะกล้าออกมาพูดหรือไม่ ในเมื่อมีคนพร้อมที่จะไม่เชื่อพวกเธออยู่ และทำให้เรื่องนี้ไม่ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย หวังว่ากรณีของสไมล์จะทำให้เรื่องของการคุกคามทางเพศที่เกิดจากคนเพศเดียวกันถูกพูดถึง และถูกมองเห็นมากขึ้นว่ามันก็ร้ายแรงไม่ต่างจากถูกคนต่างเพศกระทำ อ้างอิง: <a href="https://youtu.be/acOaA3aynZE?si=vFbLRBAwy5ME3cnI" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://youtu.be/acOaA3aynZE?si=vFbLRBAwy5ME3cnI</a> <a href="https://www.bustle.com/p/no-woman-on-woman-sexual-harassment-is-not-a-myth-46130" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bustle.com/p/no-woman-on-woman-sexual-harassment-is-not-a-myth-46130</a>&nbsp;

For the Love of Men: From Toxic to a More Mindful Masculinity (2019) คือหนังสือของ ลิซ แพลงค์ (Liz Plank) ที่ได้รับความชื่นชมอย่างหนาหู ว่าเป็นหนังสือที่อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจและพูดถึงความเป็นชายอันแสนเป็นพิษโดยปราศจากท่าทีเหมารวม

Liz Plank นักเขียนเฟมินิสต์ผู้ยืนยันว่า Toxic Masculinity ก็ทำร้ายผู้ชายเช่นกัน

ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง ในพื้นที่อย่างสถาบันการศึกษาซึ่งควรจะเปิดกว้างต่อการแสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีของคนรุ่นใหม่ ก็อาจกำลังเกิดประเด็นที่สร้างความขัดแย้งไม่น้อยไปกว่ากัน เมื่อแถลงการณ์ล่าสุดจากมหาวิทยาลัย USC ในแคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) ประกาศยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษาประจำปีนี้ เนื่องจากตัวแทนนักศึกษาปริญญาตรีผู้กล่าวสุนทรพจน์ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่าย ‘สนับสนุนปาเลสไตน์’ (Pro-Palestinian)

มหาวิทยาลัย Southern California 
ยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษา เมื่อตัวแทนนักศึกษาที่จะได้ขึ้นเวที ถูกมองว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนปาเลสไตน์

ในต่างประเทศเองการล่วงละเมิดและการคุกคามทางเพศในแวดวงศิลปะก็ไม่ใช่เรื่องใหม่และกำลังตื่นตัวไม่น้อยไปกว่าบ้านเรา อย่างกลุ่มที่มีชื่อว่า ‘The Guerrilla Girls’ กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ขอลุกขึ้นมาสวมชุดกอลิลลา ทำตัวบ้าหลุดโลก แต่ภายใต้ชุดนั้นคือการเป็นหูเป็นตาให้กับวงการศิลปะ กระตุ้นให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ศิลปิน คิวเรเตอร์ นักวิจารณ์ จนถึงมิวเซียม แกลเลอรี และบรรดานายทุน ตื่นรู้ต่อ ‘การมีอยู่ของผู้หญิง’ ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS