จากกรณีของ Teacher Luke หรือกรณีเด็ก 16 ที่ถูกรุมโทรม สะท้อนชัดว่า แม้การโทษเหยื่อหรือ Victim blaming จะถูกพูดถึงบ่อยครั้งในหลายปีมานี้ แต่ในชีวิตจริง สิ่งนี้ยังคล้ายจะเป็นเรื่องปกติของเมืองไทย

ควรพอแล้วไหม สังคมไทยกับการโทษเหยื่อ? จากกรณีเด็ก 16 ถูกรุมโทรม จนถึงเด็ก 16 อีกคนที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์จาก Teacher Luke

จากกรณีของ Teacher Luke หรือกรณีเด็ก 16 ที่ถูกรุมโทรม สะท้อนชัดว่า แม้ การโทษเหยื่อ&nbsp;หรือ Victim blaming จะถูกพูดถึงบ่อยครั้งในหลายปีมานี้ แต่ในชีวิตจริง สิ่งนี้ยังคล้ายจะเป็นเรื่องปกติของเมืองไทย หลายๆ ครั้งที่มีข่าวเรื่องการคุกคามทางเพศหรือกรณีพรากผู้เยาว์ เราก็จะยังได้เห็นคอมเมนต์ประเภท “ไปหาเขาเอง” “คันเอง” “อ่อยเอง” “ยอมเอง” ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการผลักความผิดไปให้ผู้ถูกกระทำ ราวกับว่าผู้ลงมือกระทำเหล่านั้นแค่ทำไปตามสัญชาตญาณดิบโดยไม่จำเป็นต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจหรือให้เกียรติมนุษย์คนอื่น หรือกระทั่งไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองขนาดนั้นเสียด้วยซ้ำประเด็นที่น่าเป็นห่วงของการโทษเหยื่อคือ ไม่เพียงแต่จะทำให้ทัศนคติของสังคมต่อการกระทำความผิดทางเพศบิดเบี้ยวไป แต่ยังมีส่วนทำร้ายจิตใจของผู้ถูกกระทำให้ย่ำแย่กว่าเดิม และอาจจะกลายเป็นแผลใจไปอีกยาวนานหรือตลอดชีวิตอย่างกรณีของเด็กอายุ 16 ปีคนหนึ่ง ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่ถูกหลอกให้ไปที่บ้านของชายคนหนึ่ง (ที่เป็นเพื่อนกับแฟนของเธอ) เธอถูกชักชวนให้กินเหล้า ก่อนจะถูกชายคนหนึ่งในกลุ่มพาออกไปข่มขืนที่ด้านนอก จากนั้นยังถูกพากลับมาให้ชายอีก 3 คนที่เหลือร่วมข่มขืนเธอด้วย ซึ่งหลังจากที่แม่และแฟนของเธอรู้เรื่องและตัดสินใจแจ้งความพร้อมกับเดินหน้าดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เธอกลับถูกครอบครัวของกลุ่มผู้กระทำนำเรื่องไปประจานจนเธอเครียดถึงขั้นทำร้ายตัวเอง ข้อกล่าวหาที่พวกเขามีให้เธอนั้นคือ “หน้าด้าน ไม่รู้จักอาย” หรือกระทั่งมองว่า แม่ของเธอ “ขายลูกกิน”&nbsp;น่าเศร้าที่เมื่อเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ว่าจะชุมชน ตำรวจ หรือกระทั่งโรงเรียน ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเธอ คนในชุมชนหลายคนเชื่ออย่างที่ครอบครัวของกลุ่มผู้กระทำกล่าวอ้าง ว่าเธอสมยอมเอง ตำรวจพยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอรับเงินและจบคดี ทั้งที่จริงแล้วนี่เป็นอาญาแผ่นดินที่ยอมความไม่ได้ แต่ตำรวจกลับไม่ได้ให้ข้อมูลนี้กับแม่ของเด็ก ทางโรงเรียนเองเรียกเด็กเข้าห้องปกครองและบอกให้เธอไม่นำเรื่องนี้ไปแจ้งกับสื่อ เพราะจะยิ่ง “เสื่อมเสียชื่อเสียง” โดยปากคำของผู้อำนวยการโรงเรียนที่เผยแพร่ในรายการโหนกระแส ยังระบุอีกว่า นี่เป็นเพียง “เรื่องส่วนตัว” และการที่แฟนหนุ่มของเด็กผู้ถูกกระทำช่วยผลักดันในการดำเนินคดีก็เป็นเพียงการเอาคืนของผู้ชายด้วยกัน (!?) เห็นได้ชัดเจนว่าแทบไม่มีใครที่พยายามเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ถูกกระทำที่ต้องเจ็บเพิ่มจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรมพออีกต่างหาก และหากเรื่องนี้ไม่กลายเป็นข่าวดัง เราไม่มีทางรู้เลยว่าเธอจะสามารถได้รับการเยียวยาอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่หรืออีกกรณีหนึ่งที่เด็กสาววัย 16 คนหนึ่ง มีเพศสัมพันธ์กับนายลุค ร็อกเวลล์ (Luke Rockwell) ชายชาวอเมริกันที่มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในไทย เขาทำคลิปสอนภาษาอังกฤษผ่านทางโซเชียลมีเดียและได้รับความนิยมอย่างมากจนมีผู้ติดตามกว่า 1.3 ล้านคนทางติ๊กต่อก (ก่อนหน้านี้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งเรื่องการทำคอนเทนต์หลายอย่างที่ส่อทัศนคติเหยียดเชื้อชาติและเหยียดเพศ จนเกิดเป็นกระแส #CancelTeacherLuke ที่โด่งดังในโลกออนไลน์)&nbsp;เด็กสาววัย 16 คนนี้เป็นหนึ่งในผู้ติดตามคอนเทนต์ของลุค จนกระทั่งได้ติดต่อกันและพัฒนาความสัมพันธ์กัน จนวันหนึ่งเด็กเริ่มมีอาการไม่สบายจนแม่ตัดสินใจพาไปตรวจที่โรงพยาบาล และพบว่ามีภาวะติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และมีติ่งเนื้อที่ปากมดลูก แม่จึงตัดสินใจแจ้งความกับลุคด้วยข้อหาพรากผู้เยาว์ โดยจากคำบอกเล่าของแม่ ในครั้งแรกนั้นลุคมีเพศสัมพันธ์กับเธอโดยใช้ถุงยางอนามัย แต่ในครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ได้ใช้อีกเลย ทั้งยังมีการถ่ายคลิปวิดีโอขณะมีเซ็กซ์เอาไว้ด้วย ซึ่งเธอยินยอมด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องนี้กลายเป็นข่าว –อย่างที่หลายคนเดาได้– ก็ยังคงมีคอมเมนต์ที่กล่าวโทษฝ่ายหญิง หรือหยิบเรื่องนี้มาคอมเมนต์ในเชิงขบขัน หรือกระทั่งมองว่า การกระทำของนายลุคก็เป็นเรื่องปกติและไม่ใช่เรื่องผิดขนาดนั้น ทั้งที่ตามข้อกฎหมายเธอยังคงเป็นผู้เยาว์และพึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แม้เธอจะยินยอม แต่ฝั่งนายลุคเองที่มีอายุมากกว่าเธอร่วม 14 ปี เป็นฝ่ายที่เกลี้ยกล่อมและใช้ความรักหลอกล่อให้เธอเชื่อ ทั้งยังเป็นฝั่งที่ไม่รับผิดชอบเรื่องการป้องกัน อย่างนี้แล้วความผิดจะเป็นเพียงของฝ่ายหญิงจนต้องแสดงความคิดเห็นกล่าวโทษเธอกันอย่างนั้นได้อย่างไรนี่จึงเป็นอีกครั้งที่เราอยากส่งเสียงออกไปว่า การโทษเหยื่อนั้นไม่ควรกลายเป็นเรื่องปกติ การไปอยู่ที่ไหน แต่งตัวอย่างไร หรือมีการแสดงออกอย่างไร ก็ไม่ได้แปลว่าใครคนนั้นสมควรจะถูกล่วงละเมิดสิทธิในร่างกายได้ หลายคนน่าจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันแล้วจริงๆ&nbsp;อ้างอิงhttps://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2722353&nbsp;&nbsp;https://nypost.com/2023/09/04/tiktok-star-luke-rockwell-arrested-for-sex-abuse-of-a-minor-in-thailand/&nbsp;&nbsp;https://www.thairath.co.th/news/crime/2721824&nbsp;&nbsp;

แล้วก็เป็นอีกครั้ง เมื่อคนสักเพศหนึ่งโพสต์รูปเซ็กซี่ๆ แล้วคนที่สนใจในเพศนั้นๆ ก็มักเผลอใจฝากคอมเมนต์แสดงความเสวของตัวเองออกไป ซึ่งหลายครั้งก็เข้าข่ายการคุกคามทางเพศ แล้วก็เป็นอีกครั้ง ที่ผู้หญิงหรือ LGBTQ (ที่เคยด่าชายแท้เอาไว้มากมาย) จะเป็นฝ่ายคอมเมนต์เข้าข่ายคุกคามทางเพศเสียเอง

“คนละมักกอนนากัล” จริงหรือเปล่า? เมื่อผู้หญิงหรือ LGBTQ เป็นฝ่ายคอมเมนต์ Sexual Harassment ซะเอง ท่ามกลางการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ

ใน vlog ที่ปารีสของ Rachel Zegler เมื่อปี 2023 มีบางคนฟังทั้งหมดที่เธอพูดจาก vlog นี้ และได้รับเอาความรู้สึกที่เป็นมนุษย์มากๆ ของเธอเข้าไว้ในใจ โดยไม่ได้รู้สึกเกลียดชังทั้งยังได้รับพลังกลับมา

เรื่องเล่าทั้งหมดจาก Vlog ของ Rachel Zegler เมื่อสองปีก่อน ที่ถูกหยิบมาบิดจนเธอถูกเข้าใจผิดและเผชิญความเกลียดชังอีกระลอก

“Feminine Energy ทำให้ชีวิตของผู้หญิงง่ายขึ้น” กลายเป็นวาทกรรมสอนหญิงที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแพลตฟอร์ม TikTok โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มักระบุว่า หากผู้หญิงเพิ่ม Feminine Energy มากขึ้น จะทำให้พวกเธอสามารถดึงดูดสิ่งที่ดีเข้ามา นำไปสู่การมีชีวิตที่สบายขึ้น รวมถึงหากนำไปปรับใช้กับด้านความสัมพันธ์ จะส่งผลให้ได้รับการปฏิบัติที่ดีแบบ Princess Treatment จากคนรัก

“Feminine Energy ทำให้ชีวิตผู้หญิงง่ายขึ้น” วาทกรรมสอนหญิงจาก TikTok ที่ชวนให้คนกลับสู่กรอบบทบาททางเพศ เพื่อจะมีชีวิตที่ดี ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงแบบไหน ก็สามารถมีชีวิตที่ดี และความรักที่คู่ควรได้

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS