สนธิชัย อยู่สุภาพ ผู้ก่อเหตุลงมือข่มขืนครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเขาได้ข่มขืนผู้หญิงถึง 100 ราย แม้จะโดนจับคดีเดียวกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2553 และ 2558 แต่เขาก็ยังสามารถพ้นโทษออกมาแล้วทำเรื่องแย่ๆ และในปี 2566 นี้ เขาก็ลงมือทำ

จากกรณีนักข่มขืนต่อเนื่อง ปลอมเป็นกะเทย เพื่อล่อลวงและข่มขืนหญิงสาวกว่า 100 คน ภาพสะท้อนกฎหมายไทยที่อ่อนแอ และช่องโหว่ จากความไม่กล้าไว้วางใจผู้ชาย ของผู้หญิงในสังคม

ใครที่ติดตามข่าวก็น่าจะได้เห็นข่าวคดี<a href="https://www.mirrorthailand.com/tags/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%99" rel="noopener noreferrer" target="_blank">ข่มขืน</a>อย่างต่อเนื่องแทบทุกสัปดาห์ และในแต่ละข่าวก็สะท้อนภาพปัญหาของบ้านเราได้ชัดเจน โดยเฉพาะความอ่อนแอของกฎหมายและความตระหนักรู้เรื่องสิทธิในร่างกาย ที่ทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือกระทำซ้ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างล่าสุดกับกรณีผู้ต้องหาคดีข่มขืน สนธิชัย อยู่สุภาพ ที่วนลูปข่มขืนผู้หญิงซ้ำไปมาถึง 100 ราย แม้จะโดนจับคดีเดียวกันไปแล้วตั้งแต่ปี 2553 และ 2558 แต่เขาก็ยังสามารถพ้นโทษออกมาแล้วทำเรื่องแย่ๆ ได้มากถึงขนาดนั้นได้ และในปี 2566 นี้ เขาก็ลงมือทำมันอีก สนธิชัย อยู่สุภาพ เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2565 แต่ก็โดนจับกุมอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2566 นี้ ในข้อหา “พยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้อวัยวะอื่นซึ่งไม่ใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของบุคคลนั้น” ซึ่งก็เป็นกรณีเดิมๆ ที่เขาเองเคยก่อไว้ มิหนำซ้ำ ที่น่ากลัวคือความไม่สลดต่อความผิดและยังคงทำเรื่องเดิมๆ แม้จะเคยได้รับโทษตามกฎหมายแล้วก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การเข้าคุกของผู้ก่อคดีข่มขืน หลายครั้งเป็นเพียงการกักตัวผู้ต้องหาไว้เพียงชั่วคราว แต่ทัศนคติของผู้กระทำยังเป็นเหมือนเดิม อยู่กับความคิดที่ว่ายังไงก็จะได้ ‘ปล่อยตัว’ ออกมา มิหนำซ้ำหลายคนติดคุกเพียงไม่กี่ปี ไม่นานก็มีโอกาสได้กลับออกมาเพื่อก่อเหตุซ้ำ นี่เป็นอีกครั้งที่ย้ำว่าเราควรทบทวนถึงกระบวนการยุติธรรมสำหรับกรณีข่มขืนและความรุนแรงทางเพศ แน่นอนว่าคำตอบไม่ใช่ ข่มขืน=ประหาร แต่อาจเป็นการเพิ่มโทษจำคุก จำกัดการลดโทษ และควรมีมาตรการป้องกันการก่อเหตุซ้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การข่มขืนควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เป็นอยู่มาก อีกประเด็นที่น่าพูดถึงไม่แพ้กับกระบวนการยุติธรรมที่อ่อนแอ คือกลอุบายที่สนธิชัยเลือกใช้ในการหลอกหญิงสาวกว่า 100 คน มาข่มขืน คือการปลอมตัวเป็น ‘กะเทย’ ในชื่อ เจ๊บัว และ เจ๊เล็ก ซึ่งแฝงตัวเป็น ‘โมเดลลิ่ง’ ล่อลวงผู้หญิงหน้าตาดีที่ต้องการจะเข้าสู่วงการบันเทิงไปข่มขืน ไม่เพียงเท่านั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่กล้าแจ้งความเนื่องจากความอับอายในสังคม ซึ่งยังคงเป็นปัญหา เมื่อเหยื่อคดีข่มขืนยังคงถูกตีตรา ทั้งๆ ที่พวกเธอเป็นผู้ถูกกระทำ การที่ผู้หญิงรู้สึกสบายใจกว่าเมื่ออยู่กับกะเทย เกย์ LGBTQ+ มากกว่าผู้ชาย ก็สะท้อนได้ว่าผู้หญิงหลายคนยังคงรู้สึกไม่ปลอดภัยกับเพศชาย เพราะรู้สึกว่าอาจมีแนวโน้มที่จะถูกคุกคามทางเพศ (หากอิงจากข่าวคดีข่มขืน เพศชายก็ยังเป็นผู้กระทำมากที่สุด) ทั้งที่จริงแล้วหากทุกคนตระหนักรู้เรื่องสิทธิในร่างกายจริงๆ ไม่ว่าจะเพศไหนที่ต้องใช้ชีวิตใกล้กันก็ย่อมต้องให้เกียรติกัน ไม่ควรมีเพศไหนที่ถูกระแวงเป็นพิเศษอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น การที่ สนธิชัย อยู่สุภาพ อาศัยความไว้วางใจที่ผู้หญิงมีต่อกะเทย หรือ LGBTQ+ ก็เป็นเหมือนการโยนระเบิดเข้าสู่คอมมูนิตี้เพศหลากหลาย ที่แม้จะยังไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็มีคนเริ่มหวาดระแวงมากขึ้นจากข่าวดังกล่าว เช่นเดียวกับที่หลายคนอาจเลือกไม่สนับสนุนห้องน้ำแบบไร้เพศ เพราะกลัวจะเกิดกรณีคล้ายกับข่าวนี้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นที่สำหรับทุกเพศสภาพ แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเหมารวม แต่การกระทำของสนธิชัย กลับมีส่วนทำลายสิ่งที่สังคมพยายามทำความเข้าใจร่วมกันมาตลอด และประเด็นสุดท้าย ในเมื่อวัฒนธรรมการโทษเหยื่อยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ และความรุนแรงทางเพศยังคงมีอยู่ ผู้หญิงหรือเพศไหนๆ ก็คงต้องระวังตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราจึงควรตระหนักไว้เสมอว่า หากมีคนมาทำร้ายคุณ คุณไม่ใช่คนผิด คนกระทำต่างหากที่ผิด หากใครเคยตกเป็นเหยื่อของ สนธิชัย อยู่สุภาพ และมีสภาพจิตใจพร้อมแล้ว ก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง และเหยื่อคนอื่นๆ สามารถแจ้งได้ที่เพจ “สืบนครบาล IDMB” เจ้าหน้าที่พร้อมให้คำแนะนำ อ้างอิง: <a href="https://www.facebook.com/IDMB.Bangkok/posts/pfbid0BdEikBUAe2pp8ik5Efty7meVV5j1A9Rh6v8aopLpCerLqe1hf9puC9AzuCcbv8EZl" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.facebook.com/IDMB.Bangkok/posts/pfbid0BdEikBUAe2pp8ik5Efty7meVV5j1A9Rh6v8aopLpCerLqe1hf9puC9AzuCcbv8EZl</a> <a href="https://www.facebook.com/IDMB.Bangkok/posts/pfbid02dQS1FgeRWpXR6MooCWMhaXJbrymNdrPFr6DnDTWHzbxFfpAkAfbgbErjvUK1cNayl" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.facebook.com/IDMB.Bangkok/posts/pfbid02dQS1FgeRWpXR6MooCWMhaXJbrymNdrPFr6DnDTWHzbxFfpAkAfbgbErjvUK1cNayl</a> <a href="https://www.dailynews.co.th/news/2514621/" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dailynews.co.th/news/2514621/</a>

‘Pink Wheels’ คือกลุ่มตำรวจหญิงชาวปากีสถาน ที่สวมฮิญาบ ขี่สกู๊ตเตอร์สีชมพูจำนวน 10 คัน เข้าไปในเมืองเพื่อรับเรื่องร้องเรียน และช่วยเหลือผู้หญิงที่เผชิญความรุนแรง เนื่องจากเหยื่อหลายคนคิดว่าจะ “ไม่ได้รับความเป็นธรรม” จากตำรวจชายที่ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของพวกเธอ 

Pink Wheels กลุ่มตำรวจหญิงในปากีสถาน สวมฮิญาบมากับสกู๊ตเตอร์สีชมพู เพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่เผชิญความรุนแรงทางเพศ

ย้อนไปเมื่อต้นปี 2023 ม้าตัวหนึ่งหัวใจวายตายขณะถ่ายทำซีรีส์ The Ring of Power ขณะที่เมื่อปี 2011 เสือชื่อคิงก็เกือบจมน้ำตายระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง Life of Pi ในฉากที่จำเป็นต้องใช้เสือจริงๆ แทนซีจี  ฯลฯ และเช่นเดียวกับเคสแมวดำในซีรีส์ ‘แม่หยัว’ มีสัตว์หลายชีวิตต้องสูญเสียสวัสดิภาพของตัวเอง เพื่อตอบสนอง ‘ความสมจริง’ ในการถ่ายทำ โดยที่มันไม่สามารถให้ความยินยอมหรือเรียกร้องอะไรได้

เมื่อดิสเคลมเมอร์ “No Animal Were Harmed” ในหนังฮอลลีวูด ก็ไม่อาจการันตีสวัสดิภาพสัตว์ได้ 100% 


ท่ามกลางโลกทุกวันนี้ที่บีบบังคับให้เราต่างต้องประสบความสำเร็จ มุ่งไปข้างหน้า คาดหวังให้เราเป็นยอดมนุษย์ในทุกๆ เรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็กดดันให้เราวิ่งวนเป็นวงกลมไปกับข้อมูลอันท่วมท้นภายนอกที่ทำให้เราไม่มีเวลากลับมาสนใจโฟกัสกับความเป็นปัจจุบัน หรือแม้แต่ฟังเสียงของตัวเราเองอย่างที่ควรจะเป็น จนผลักให้ใครหลายคนต้องเผชิญกับภาวะ Mental Exhaustion หรือภาวะ Burnout ในท้ายที่สุด

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS