การประท้วงที่อิหร่านยังคงดำเนินต่อไป เมื่อรัฐบาลไม่ยอมรับฟังเสียงประชาชน

“ถ้าเราไม่รวมพลังกัน พวกมันก็จะฆ่าเราทีละคน” เสียงจากนักเรียนหญิงอิหร่านที่ร่วมใจกันขับไล่เผด็จการ

การประท้วงที่อิหร่านยังคงดำเนินต่อไป เมื่อรัฐบาลไม่ยอมรับฟังเสียงประชาชน ทั้งยังใช้ความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 50 คน ถูกจับกุมอีกกว่า 1,500 คน ล่าสุดนี้เด็กนักเรียนหญิงก็เป็นอีกกลุ่มที่ออกมาประกาศจุดยืนต่อต้านเผด็จการ พวกเธอรวมตัวกันขับไล่เจ้าหน้าที่รัฐให้ออกไปจากโรงเรียน ทั้งยังชูนิ้วกลางให้กับรูปผู้นำประเทศที่ติดเอาไว้สูงส่งในห้องเรียน จนกลายเป็นภาพไวรัลตั้งแต่เมื่อคืนวาน ย้อนดูกันอีกสักรอบ การประท้วงครั้งใหญ่นี้เริ่มต้นจากความตายของหญิงสาวนามว่า มาห์ซา อามินี (Mahsa Amini) ที่ถูกตำรวจศีลธรรมจับกุม และทำร้ายจนเสียชีวิต เพียงเพราะเธอไม่สวมฮิญาบในที่สาธารณะ โดยเริ่มจากกลุ่มคนที่ไม่พอใจข้อบังคับของรัฐอิสลามที่กดทับสิทธิสตรี มาถึงตอนนี้การประท้วงได้ขยายวงกว้างไปสู่ผู้คนที่ไม่พอใจการกระทำของรัฐบาลเผด็จการที่นอกจากพยายามควบคุมชีวิตผู้คนจนหมดสิ้นเสรีภาพ ล้มเหลวทั้งการบริการบ้านเมือง และเศรษฐกิจ ทั้งยังเห็นชีวิตประชาชนเป็นเพียงผักปลา นิกา ชาห์คารามิ (Nika Shakarami) วัย 17 ปี เป็นนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากการประท้วงครั้งนี้ โดยเธอหายตัวไปตั้งแต่เดือนกันยายน และครอบครัวก็ตามหาจนพบว่าเธอกลายเป็นศพอยู่ที่สถานกักกันใน 10 วันให้หลัง ยิ่งคนสูญหายและล้มตายมากขึ้น ผู้คนก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวและยิ่งรวมพลังกัน การประท้วงจึงยังคงดำเนินต่อ และดูจะเดือดขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดนี้เหล่านักเรียนหญิงทั่วประเทศพากันถอดฮิญาบทิ้งแล้วออกมาเดินขบวน พวกเธอตะโกนคำว่า “ผู้หญิง ชีวิต เสรีภาพ” รวมถึงยืนยันว่า “ถ้าเราไม่รวมพลังกัน พวกมันก็จะฆ่าเราทีละคน” ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเธอต่างรู้ดีว่ารัฐบาลพร้อมจะฆ่าประชาชนจริงๆ พวกเธอกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเธอก็ยังเลือกที่จะสู้ต่อเพื่อความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ท่ามกลางความหวังว่าพลังของประชาชนจะขับไล่รัฐบาลที่ใช้หลักศาสนา และความเป็นเผด็จการมากดขี่ประชาชนได้ แต่พลังความยึดมั่นถือมั่นในอำนาจของรัฐบาลก็แรงไม่แพ้กัน แม้นานาประเทศจะออกมาประณามการใช้ความรุนแรง ประชาชนและสื่อในประเทศก็ร่วมกันกดดัน แต่ดูเหมือนพวกเขาก็ยังไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลอิหร่านใช้ความรุนแรงเข่นฆ่าประชาชน แต่เรายังคงหวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงอีกหลายๆ ประเทศที่ยังอยู่ใต้อำนาจเผด็จการด้วยเช่นกัน อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/world-middle-east-63128184 https://www.theguardian.com/world/2022/oct/04/iranian-schoolgirls-take-up-battlecry-as-protests-continue&nbsp;

นี่คือการถามจริง ตอบจริง แบบไม่เตี๊ยม ไม่มีบท ของ Dose of society แอคเคานต์ที่เราบังเอิญเจอในอินสตาแกรมที่ออกไปยื่นไมค์สัมภาษณ์ผู้คนตามท้องถนนทั่วทุกมุมโลก ด้วยไอเดียที่ว่า Real People, Real Stories คุยกับคนจริง กับเรื่องจริงๆ ของพวกเขา

Dose of society คอมมิวนิตี้ที่พาไปฟังผู้คนทั่วโลกด้วยคำถามง่ายๆ แต่ทำให้เข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น 

ด้วยสังคมชายเป็นใหญ่ที่ชัดเจนและพลังแรงในเกาหลีใต้ ทำให้ผู้หญิงสาวหลายคนในประเทศพากันใช้ชีวิตตามวิถี 4 No หรือ 4B Movement ที่เป็นการหันหลังให้กับบทบาทของเพศหญิงตามแบบที่สังคมกำหนด ซึ่งก็ได้แก่ ‘biyeonae’ (ไม่ออกเดต) ‘bisekseu’ (ไม่มีเซ็กซ์) ‘bihon’ (ไม่แต่งงาน) และ ‘bichulsan’ (ไม่มีลูก) แต่ล่าสุดนี้ ดูเหมือนสาวอเมริกันก็เริ่มจะหันเข้าสู่วิถี 4B กันบ้างแล้ว หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณของการก้าวถอยหลังเรื่องสิทธิสตรีไปโดยปริยาย


ผู้หญิงอเมริกันเริ่มคิดเรื่อง 4 No ตามแบบสาวเกาหลีใต้ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง  ไม่ออกเดต / ไม่มีเซ็กซ์ / ไม่แต่งงาน / ไม่มีลูก


เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น อาเจะห์คือจังหวัดที่ยังมีการลงโทษคนด้วยการเฆี่ยนตี และมีกฎหมายบังคับให้ผู้หญิงต้องสวมใส่ฮิญาบ อีกทั้งผู้หญิงส่วนมากยังต้องอยู่แต่ในบ้านและมีโอกาสทางการศึกษาและอาชีพน้อยกว่าผู้ชายหลายเท่า ดังนั้น สำหรับพื้นที่อื่นๆ บนโลกนี้ การมีผู้หญิงเป็นเจ้าของร้านกาแฟคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่สำหรับที่อาเจะห์ นี่เป็นเรื่องที่น่าพูดถึง

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

VDO

CONVERSATION

MIRROR50

PR-NEWS

Social Issues

“ถ้าเราไม่รวมพลังกัน พวกมันก็จะฆ่าเราทีละคน” เสียงจากนักเรียนหญิงอิหร่านที่ร่วมใจกันขับไล่เผด็จการ

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS